หมายเหตุ*สรุปอันนี้ใช้เป็นหลักที่อธิบายแล้วเข้าใจง่ายๆเนืองจากระยะเวลาที่จำกัดจึงทำให้สรุปอันนี้ค่อนข้างที่จะมีเนื้อหาไม่เยอะเท่าไรเพราะเอามาแต่หลักที่สำคัญๆ
ดังนั้นให้อ่านหนังสือประกอบด้วยนะครับ หรือถ้าอ่านหนังสือแล้ว งง
ก็กลับมาอ่านสรุปอันนี้ก็ได้ สรุปอันนี้มีเพียงพื้นฐานเบื้องต้น(เพราะน้องเพิ่งเรียนอะกลัวยังไม่รู้เรื่อง)หัวข้อ 1.ทรัพย์เฉพาะสิ่ง 2.การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย
วัตถุแห่งหนี้-สิ่งที่ลูกหนี้จะต้องดำเนินการในการปฎิบัติการชำระหนี้/การชำระหนี้อันเป็นเนื้อหาของหนี้
มี3อย่าง(ไปอ่านเอาในหนังสือนะ)
ดูตัวบทมาตรา 195 ทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้ .ให้เข้าใจว่ามันคือทรัพย์ที่ลูกหนี้มีหน้าที่ที่ต้องส่งมอบแก่เจ้าหนี้นะไม่ต้องสับสนกับตัวบท
ต่อมาให้เราเข้าใจคำว่า ทรัพย์เฉพาะสิ่งก่อนนะ
ทรัพย์เฉพาะสิ่งนี่สำคัญนะเพราะว่ามันมีความรับผิดของล/น
จ/น แตกต่างกันถ้าเกิดกรณีทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งหนี้ได้พ้นวิสัยไป
ยังไงเดี๋ยวบอกอีกทีนะ
ทรัพย์เฉพาะสิ่งคือทรัพย์ที่วัตถุแห่งหนี้นั้นได้ระบุไว้ว่าให้ชำระหนี้ด้วยทรัพย์นั้นโดยเฉพาะเจาะจง
แล้วทำไงถึงจะเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งละ?
1.ดูมาตรา 195 ว.2นะมีคีย์เวิร์ดไว้อยู่คือ..ถ้าลูกหนี้ได้กระทำการอันตนจะพึงต้องทำ
เพื่อส่งมอบทรัพย์สิ่ง นั้นทุกประการแล้วก็ดี หมายความว่าลูกหนี้(คนขาย)ที่ทำทุกขั้นตอนในการชำระหนี้แล้ว
เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายที่จะต้องทำ เช่น A ซื้อไม้สักจาก B โดย Aได้ลือกไม้สักเรียบร้อยและBได้จัดการขนไม้ขึ้นรถของAเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จะเห็นได้ว่าไม้ได้กลายสภาพเป็นทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งการชำระหนี้(ทรัพย์เฉพาะสิ่ง)เรียบร้อยแล้ว
2.เช่นกัน คำว่า หรือถ้าลูกหนี้ได้เลือกกำหนดทรัพย์ที่จะส่งมอบ
แล้วด้วยความยินยอมของเจ้าหนี้ก็ดี หมายความว่าAขายหมูปิ้งอยู่ จากนั้น B มาซื้อ และ B
ได้ทำการเลือกหมูปิ้งไม้ที่มีมันหมูติดนิดๆ จากนั้นAก็ใส่ถุงให้
B นั่นแหละทรัพย์เฉพาะสิ่ง
การแยกแยะว่าอันไหนเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง.ให้ดูม.460
ว.2ประกอบนะ จะคล้ายๆกันเลย นะ..ในการซื้อขายทรัพย์สินเฉพาะสิ่ง
ถ้าผู้ขายยังจะต้องนับ ชั่ง ตวง วัดหรือทำการอย่างอื่น
หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดอันเกี่ยวแก่ทรัพย์สิน
เพื่อให้รู้กำหนดราคาทรัพย์สินนั้นแน่นอน ท่านว่ากรรมสิทธิ์ยังไม่โอน
ไปยังผู้ซื้อจนกว่าการหรือสิ่งนั้นได้ทำแล้ว
ผลของการเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง ให้ดู
ม.370 คีย์เวิร์ดอยู่ที่คำว่า”ทรัพย์นั้นสูญหรือ เสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษลูกหนี้มิได้ไซร้
ท่านว่าการสูญหรือเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้”
หมายความว่าถ้าทรัพย์เฉพาะสิ่งนั้นสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะโทษลูกหนี้ไม่ได้
ความเสียหายตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้(ซวยเลย)ยกตัวอย่างเช่น พี่ไปเดินเซฟวันแวะเข้าร้านเสื้อร้านนึง เสื้อเยอะมาก
จากนั้นพี่หยิบเสื้อมาตัวนึงแล้วบอกน้องแตงโมหัวล้านที่เป็นเจ้าของร้านแล้วพูดว่า”ผมเอาตัวนี้”
นั่นหมายความว่าพี่ได้กำหนดตัวทรัพย์โดยเฉพาะเจาะจงแล้วว่าจะเอาเสื้อตัวนี้ส่งผลให้เสื้อตัวนี้เป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งเรียบร้อยแล้ว
ต่อมา...ลมพัดแรงมาก เสื้อที่พี่ซื้อไว้หลุดมือไปตกบ่อโคลนตม
พี่เลยบอกเจ้าของร้านว่า “เสื้อเละหมดแล้วจะเอาตัวใหม่ครับและผมจะไม่จ่ายตัง”
ผลคือพี่ไม่สามารถทำได้เพราะความเสียหายนั้นเกิดขึ้นโดยที่จะโทษลูกหนี้(เจ้าของร้านไม่ได้) ความเสียหายจึงตกเป็นพับแก่พี่
หมายความว่าพี่ต้องเอาเสื้อตัวนั้นไปซักและจะต้องจ่ายเงินให้เจ้าของร้าน
จะไปมาตอแหลเอาเสื้อตัวใหม่ไม่ได้
*ตรงกันข้ามกันสมมุติพี่เพียงแต่เดินเข้าไปในร้านแล้วพี่ยังไม่ได้ทันทำอะไรเลย
ลมพัดเสื้อในร้านตกบ่อโคลนไป พี่ก็เลือกตัวใหม่ได้สบาย เพราะ”ยังไม่เป็นทรัพย์เฉพาะสิง”
หมายเหตุ*
กรณีดังกล่าวที่ยกมานั้นจะสังเกตว่าลูกหนี้คือเจ้าของร้านจะได้รับเงินค่าเสื้อเพราะว่าความเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้คือผู้ซื้อไปแล้ว
มาตรา 370 นั้นใช้เฉพาะหนี้ในสัญญาต่างตอบแทนที่มีวัตถุประสงค์ในการโอนกรรมสิทธิเท่านั้น
แต่ถ้าไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการโอนกรรมสิทธิละ ไม่ต้องสงสัยก็ไปบังคับตาม ม.372
นะ ดูตัวบทประกอบ หลักของ ม.372
คือเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการโอนกรรมสิทธิ์ หลักคือดูว่าการสูญหรือเสียหายนั้นเป็นพฤติการณ์ที่โทษลูกหนี้ได้ไหม
เช่น ลูกหนี้รับจ้างทาสีบ้านราคาค่าจ้าง 30000
ก่อนจะถึงกำหนดที่ลูกหนี้จะต้องมาทาสีบ้าน 3วัน
ไฟไหม้ลุกลามมาจากปากซอยและได้ไหม้บ้านหลังดังกล่าว
การชำระหนี้ของลูกหนี้คือการทาสีบ้านก็จะทำไม่ได้
แล้วถามว่าลูกหนี้จะได้รับค่าจ้างในการทาสีไหม คำตอบแบบชาวบ้านๆคือไม่ได้แน่นอนเพราะลูกหนี้ไม่ได้ทำอะไรเลยจะได้เงินค่าจ้างได้อย่างไร
แต่เราเป็นนักกฎหมายต้องตอบแบบเท่ๆว่าเพราะเป็นกรณีที่การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยที่จะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้
ลูกหนี้ไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตอบแทน ม.372 ว.2หมายความง่ายๆว่าลูกหนี้ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างนั่นเอง
***แต่ถ้าการที่ไฟไหม้บ้านนั้นเป็นความผิดของเจ้าของบ้าน(เจ้าหนี้)นั่นหมายความว่าจะเข้ามาตรา372
ว.2ทันทีคือการชำระหนี้(การที่ลูกหนี้ต้องทาสีบ้าน)ตกเป็นพ้นวิสัย(ก็ไม่มีบ้านให้ลูกหนี้ทาสีแล้ว)เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะ โทษเจ้าหนี้ได้ ลูกหนี้ก็หาเสียสิทธิที่จะรับชำระหนี้ตอบแทนไม่ หมายความว่าลูกหนี้แม้จะยังไม่ได้ทำอะไรเลย
ก็มีสิทธิได้รับค่าจ้างอยู่นั่นเอง
อธิบายหลักมาตรา 202(สมัยพี่เรียน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่โง่มากๆ55) กรณีการชำระหนี้มีหลายอย่างและบางอย่างเป็นพ้นวิสัย แยกพิจารณาได้ดังนี้
1.คำในตัวบท ”เป็นอันพ้นวิสัยจะทำได้มาแต่ต้นก็ดี”
หมายความว่าการชำระหนี้บางอย่างได้ตกเป็นอันพ้นวิสัยมาแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะทำนิติกรรมแล้ว
เช่นนี้การชำระหนี้ส่วนนั้น แม้จะมีการตกลงกันก็ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 150 แล้ว
ดังนั้นจึงจำกัดการชำระหนี้อย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัยเท่านั้น
เช่น แดงทราบว่าต้อยมีลูกสุนัข 3ตัวคือ
สีดำ สีขาว สีด่าง แดงพบต้อยที่ตลาดจึงตกลงขอซื้อลูกสุนัขตัวหนึ่ง
ต้อยตกลงขายให้แดงโดยให้แดงเลือกตัวใดก็ได้
ในขณะนั้นสุนัขตัวสีขาวที่อยู่บ้านได้ตายก่อนแล้ว โดยที่ทั้งสองคนก็ไม่ทราบ
เช่นนี้สัญญาส่วนที่ตกมาถึงลูกสุนัขสีขาวจึงเป็นโมฆะ แดงสามารถเลือกได้เพียง
2ตัวที่ยังไม่ตายเท่านั้น
2.คำในตัวบท “หรือกลายเป็นพ้นวิสัยในภายหลังก็ดี” หมายถึงหลังจากที่ได้ก่อหนี้กัน การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยในภายหลัง
แต่ต้องก่อนที่ผู้มีสิทธิเลือกจะใช้สิทธิเลือก เพราะถ้าใช้สิทธิเลือกแล้วจะถือเป็นการชำระหนี้อันกำหนดให้กระทำตั้งแต่ต้นมา(มาตรา199 ว.2 ผลของการเลือก)หมายความว่า
เมื่อได้เลือกแล้วทรัพย์นั้นจะเป็นวัตถุแห่งการชำระหนี้มาตั้งแต่ต้น
เช่น A ซื้อสุนัขจาก B โดยBมีสนัข2ตัวคือสีแดงกับสีเขียว
A เป็นคนเลือกได้เลือกสุนัขตัวสีเขียว อีก2 เดือนจะมาเอา
ดังนั้น A
จะเปลี่ยนไปเอาสุนัขตัวสีแดงอีกไม่ได้เพราะเมื่อเลือกแล้วเท่ากับว่ามีการตกลงซื้อขายสุนัขตัวสีเขียวมาตั้งแต่ต้น
สมมุติขยายข้อเท็จจริงไปว่า ในระหว่างนั้น
สุนัขตัวสีขาวตายเพราะเกิดโรคระบาดแถวๆนั้น(โทษลูกหนี้คือBคนขายไม่ได้) ดังนี้ต้องปรับเข้า 370 คือความเสียหายย่อมตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้
ผลคือเจ้าหนี้คือAคนซื้อจะต้องจ่ายเงินค่าสุนัขแก่ B .
ประเด็นต่อมา.Aจะให้Bส่งมอบสุนัขตัวสีแดงที่ยังไม่ตายไม่ได้เพราะ
การชำระหนี้ตกเป็นอันพ้นวิสัยโดยโทษลูกหนี้ไม่ได้ ลูกหนี้หลุดพ้นจากการชำระหนี้ ม.219ว
1= Bจึงไม่ต้องส่งมอบสุนัขตัวสีแดงที่ยังไม่ตายให้
A
แต่ถ้าเปลี่ยนข้อเท็จจริงว่า สุนัขตัวสีขาวนั้นตายเพราะความประมาทของ B เอง ก็ปรับเข้า 218ว.1 นะครับคือ B จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับ A
แยกแยะความต่างของมาตรา 202 – 219
ให้ออกนะครับ ต่างกันตรงที่ว่า เลือกหรือยังไม่เลือก
ต่อเลยนะ ก่อนที่ผู้มีสิทธิเลือก(ใครจะเป็นผู้มีสิทธิเลือกจ/น หรือ ล/น
แล้วแต่จะตกลงกัน มาตรา199 ว.1)ใช้สิทธิเลือกสามารถแบ่งได้เป็น
2กรณี ดูมาตรา 202 ประกอบนะ
1.กรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยที่ฝ่ายไม่มีสิทธิเลือกไม่ต้องรับผิดชอบ
กรณีนี้จะจำกัดเหลือเพียงการชำระหนี้อย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัย ม.202 ตอนแรก
เช่น A ตกลงซื้อสุนัขจาก B ที่มีอยู่ 3ตัวคือ สีแดง สีดำ
สีขาว โดยตกลงกันให้ A ฝ่ายผู้ซื้อเป็นคนเลือก
ว่าจะเลือกตัวสีไหน ปรากฏว่าก่อนที่ A จะเลือก สุนัขตัวสีขาวถูกรถชนตาย
เช่นนี้การชำระหนี้จึงจำกัดเฉพาะลูกสุนัข2ตัวที่เหลือเท่านั้น A จะไปเลือกตัวสีขาวที่ถูกรถขนตายไม่ได้(Bฝ่ายที่ไม่มีสิทธิเลือกไม่ต้องรับผิดชอบคือรถชนตาย
โดยไม่ใช่ความผิดB)
2.กรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยที่ฝ่ายไม่มีสิทธิเลือกต้องรับผิดชอบ
ผลคือกรณีนี้ฝ่ายที่มีสิทธิเลือกก็ไม่ถูกจำกัดการให้ต้องเลือกในส่วนที่เป็นวิสัยเท่านั้น
พูดง่ายๆคือฝ่ายที่มีสิทธิเลือกสามารถเลือกตัวที่ตายได้ตามตัวอย่างข้างต้น
ถ้าสุนัขตัวสีขาวนั้นได้ตายเพราะB
เจ้าของได้ประมาทเผลอเอายาฆ่าแมลงผสมอาหารให้สุนัขตัวสีขาว ผลคือ Aไม่ถูกจำกัดให้ต้องเลือกส่วนที่เป็นวิสัยตามข้อ1(คือพวกสุนัขที่ยังไม่ตาย) ดังนี้ถ้า A เลือกสุนัขตัวสีขาวซึ่งตายไปแล้ว(พ้นวิสัย) น้องๆไม่ต้อง งง นะ
ว่ามันจะเลือกตัวที่ตายทำไมเหตุผลคือ..มันได้ตังค์ เมื่อB
ลูกหนี้ไม่สามารถนำสุนัขตัวสีขาวมาชำระหนี้ได้ เป็นกรณีที่การชำระหนี้โดยตรงไม่สามารถบังคับได้เราก็ปรับเข้ามาตรา
218 ว.1 เลย คือ B จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับ A ในกรณีที่ A เลือกสุนัขตัวสีขาวที่ตายไปแล้ว
ข้อสังเกตตามข้อ2 คือ A สามารถเลือกได้2ทางเลยคือ
1.Aมีสิทธิเลือกตัวให้ B ส่งมอบสุนัข 2ตัวที่ยังไม่ตายก็ได้หรือ
2.Aจะเลือกให้ B
ส่งมอบสุนัขตัวที่ตายไปแล้วก็ได้โดยนำมาตรา 218 ว.1 มาจับ
ในการซื้อขายทรัพย์สินซึ่งมิได้กำหนดลงไว้แน่นอนนั้นท่านว่ากรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปจนกว่าจะได้หมายหรือนับ ชั่ง ตวง วัดหรือคัดเลือกหรือทำโดยวิธีอื่นเพื่อให้บ่งตัวทรัพย์สินนั้นออกเป็นแน่นอนแล้ว
ตอบลบ