เรื่องสั้น ชายอ้วนผู้เฝ้ามองดูความหลากเลื่อนของศีลธรรมอย่างลุ่มลึก
ห้วงเวลาที่พระอาทิตย์ขยับขึ้นทอแสงมาสุดตา
ในส่วนหนึ่งของพื้นที่โลกในห้องกรอบสี่เหลี่ยมแคบๆห้องหนึ่ง ตะวันทอแสงจางๆเข้ามาผ่านช่องหน้าต่างสีเทาเพื่อมาเตือนให้ทราบถึงช่วงเวลาของการเปิดเปลือกตาแล้วเดินเข้าไปสู่ห้วงเวลาของวันใหม่
ข้างๆเตียงยังคงมีเศษเส้นมาม่าตกอยู่บริเวณรอบๆ ตู้เสื้อผ้ามีร่องรอยของการเปิดทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี
หยากไหย่ยังคงปะติดปะต่อกับพื้นผนังอย่างไม่สู้ดีนักและเต็มไปด้วยความกังวลใจอย่างถึงที่สุดของชายที่มีรูปร่างอวบอ้วน
ผู้มีใบหน้าเต็มไปด้วยสิวเขลอะที่ยังนอนจมกองหนังสือหลังจากที่เขาอ่านหนังสือเตรียมสอบในช่วงดึกของเมื่อคืน
สุดท้ายเมื่อเขาทนต่อแสงแดดที่ส่องเข้ามาถึงเรตินาอย่างถึงที่สุดแล้ว เขาก็เผยอตัวขึ้นจากเตียงผ่านกลิ่นปากที่มาจากการหาวสองสามครั้งของเขา
สิ่งแรกที่ชายอ้วนคิดขึ้นมาก่อนที่เขาจะไปลุกขึ้นไปทำความสะอาดเศษขี้ฟันที่มาจากการเคี้ยวอาหารมาทั้งวันของเมื่อวานคือหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนานิกายเซน(Zen)ที่เขาได้อ่านเมื่อดึกดื่นที่ผ่านมา นิกายเซนเป็นนิกายในศาสนาพุทธที่ได้รับการนับถือกันมากในประเทศญี่ปุ่นโดยเน้นถึงการแสวงหาความจริงจากการนั่งสมาธิเป็นหลัก
หนึ่งในคำสอนของนิกายเซนคือการ”นอนหลับ” เราจะต้องนอนหลับให้เปรียบเสมือนกับเรานั้นได้ตายไปแล้ว ปล่อยจิต
ปลงทุกอย่าง ประมาณว่าใช้ชีวิตเหมือนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต
ส่วนวันพรุ่งนี้ที่ตื่นมาให้ถือว่าเป็นโบนัส
เพราะฉะนั้นจงรับโบนัสนี้แล้วจงใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุดในแต่ละวัน แต่ทว่าชายอ้วนผู้นี้ยังคงปล่อยให้จิตใจหลับสบายเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายซะอย่างดิบดี
เพราะช่วงเวลาที่เขาตื่นขึ้นมานั้นเป็นเวลาเกือบๆเที่ยง เขาได้แต่เพียงฝันถึงหน้าของเด็กสาวร่วมห้องที่เขาแอบชอบ
คิดถึงใบหน้าอันผอมบางเรียวงามของอาจารย์สอนฟิสิกส์ที่สุดสวยและถือว่าเป็นอาจารย์ที่มีเสน่ห์คนหนึ่งของโรงเรียน
ใช่แล้ววันนี้เป็นการขาดเรียนครั้งแรกของชายอ้วนที่ไม่เคยขาดเรียนเลยแม้แต่สักครั้งเดียว
โดยภวังค์จิตใจที่ดูบอบบางผิดกับลักษณะทางกายภาพของชายอ้วนผู้นั้น เขาเป็นคนที่อ่อนโยน
ไม่ยึดติดกับวัตถุในโลกของทุนนิยมมากนัก ชอบแต่งกายด้วยชุดที่ราบเรียบไม่เป็นจุดสนใจมากนัก
อิทธิพลนี้มาจากการที่เขาไม่ค่อยสันทัดกับการผลิตซ้ำมายาคติของสังคมว่าด้วยการเสพสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาภายใต้การครอบงำของวัตถุนิยมสักเท่าไรนัก
เขาชอบมองโลกในแง่ดี รวมถึงยังชอบค้นหาสิ่งต่างๆที่คนส่วนมากเขาไม่ขวานขวายอยากรู้
เขาเป็นคนชื่นชอบนักปรัชญาในสมัยคลาสสิก หรือในสมัยหลังยุคเฟื่องฟูศิลปวิทยา(Renaissance)
เขาสนใจศึกษาเกี่ยวกับมานุษยวิทยาเป็นงานอดิเรกอย่างยิ่ง
เมื่อเรามองดูภาพรวมกว้างๆแล้วเขาก็ไม่ต่างจากชายอ้วนผู้คงแก่เรียนใส่แว่นหนาเตอะ
ที่เตรียมสอบเข้ามหาลัยดังๆในปีหน้านี้แล้ว เขาเป็นเฉกเช่นปุถุชนคนทั่วๆไปที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสังคมกลมๆแห่งนี้เหมือนกับทุกคน
แต่คงไม่มีใครรู้หรอกว่าไม่มีอะไรที่ยั่งยืนพรั่นพรึงเท่ากับการที่เราไม่รู้ถึงจิตใจที่คว้านลึกอยู่ข้างในของตัวมันเอง
ในใจลึกๆแล้วเขากำลังสับสนกับความคิดหลายๆอย่างของเขา
ชายอ้วนผู้มีสำนึกของการเป็นนักอ่านตัวยง
ไม่ครุ่นคิดอะไรต่อไปอีก หลังจากที่เขาตื่นสายจนไปเรียนไม่ทัน
พลันนั้นไม่เป็นเรื่องแปลกอะไรเลยหากเขามีเจตจำนงที่จะหยิบหนังสือขึ้นสักเล่มขึ้นมาอ่านเพื่อให้สำนึกในตัวเองกระชุ่มกระชวยไปด้วยโลกของหนังสือที่มีแต่เขาเท่านั้นที่มีความสุขอยู่ในวังวันของสมาธิ
การอ่านทำให้เขาลุ่มหลงอยู่ในโลกของเขาเองเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นชายที่ไม่เคยมีความรักจากหญิงสาวคนใดมานับตั้งแต่เขาอยู่ชั้นประถม
เขายังจำจูบแรกของเขาได้เสมอ
เด็กหญิงผู้ที่เป็นรักแรกของเขานั้นอยู่บ้านข้างๆเขานั่นเอง ความใกล้ชิดกันทำให้เกิดความรักแบบเด็กๆจนได้
หลังจากนั้นมานับตั้งแต่บัดนี้ เขาไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนจริงจังเลยสักครั้ง
หากให้เขาเลือกระหว่างหนังสือและผู้หญิง เขาไม่ลังเลที่จะเลือกหนังสือเลย
เขารักการอ่านมากและไม่คิดว่าความรักนั้นจะมีเฉพาะความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น
โลกนี้ไม่สามารถขาดความรักได้และความรักถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการใช้ชีวิตของมนุษย์
เราอาจะกล่าวเชิงเปรียบเทียบได้ว่าความเค็มของน้ำทะเลยังคงอัตลักษณ์ของตัวเองไว้อย่างทะนงตัว
เฉกเช่นมนุษย์ที่ไม่สามารถขาดความรักได้ แม้ว่าเราจะผิดหวังกับมันสักแค่ไหน
แต่เราก็ยังชอบความรักอยู่ดีและไม่สามารถปฎิเสธได้ว่าเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่มีความรัก
ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ความรักยังเกิดขึ้นกับเราเสมอในทุกๆเช้าที่เราตื่นขึ้นมา
ปกติแล้วเขาไม่ชอบอ่านหนังสือในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆของของตัวเองมากนัก
นั่นอาจเพราะเขาไม่สามารถที่จะพรรณาถึงการเสพเนื้อหาภายในหนังสือที่เกิดจากห้องแคบๆได้เท่าไรนัก
หลังจากเขาอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย
จุดมุ่งหมายของเขาคือห้องสมุดของมหาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของเขานัก
มหาลัยดังกล่าวนั้นเปิดให้บุคคลทั่วๆไปสามารถเข้ามานั่งอ่านหนังสือได้
ชายอ้วนผู้นั้นจึงชอบบรรยากาศความเงียบ
รวมทั้งแอร์เย็นๆดุจนั่งอยู่ที่สายธารของแม่น้ำที่เต็มไปด้วยความเย็นของธรรมชาติ
ห้องสมุดดังกล่าวจึงเป็นสถานที่ประจำของเขาในวันหยุด
เขาก็มักที่จะมาทำงานหรือมาอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแห่งนี้เป็นประจำอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาจากกระเป๋าสะพายสีดำวับที่พ่อเขาซื้อให้เมื่อปีที่หลังจากผลการเรียนเป็นที่น่าพอใจและจากการที่เขาไปประกวดกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อเพศและศิลปะร่วมสมัย
นั่นถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำสำหรับเขาทีเดียว
เขามุ่งที่เรียนต่อคณะอักษรศาสตร์ภาควิชาปรัชญาของมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
ทำให้เขาไม่ลังเลที่จะเลือกอ่านหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาของโลกตะวันตกที่เขาชื่นชอบ ระหว่างอ่านหนังสือ
ชายอ้วนอารมณ์เสียพลางกับคิดในใจว่าหลายๆคนคงไม่คิดว่าตอนที่เราอยู่อนุบาลเราทุกคนต้องอ่านหนังสือร่วมกัน
อ่านออกเสียงดังๆพร้อมกัน แต่คงไม่มีใครออกเสียงดังในห้องสมุดอย่างแน่นอนเพราะเขาคงต้อนรับคุณอย่างไม่อบอุ่นเป็นแน่แท้
นั่นเป็นเพราะว่าโต๊ะข้างๆเขาพูดเสียงดังรบกวนเขามากๆทั้งๆที่โดยปกติแล้วห้องสมุดแห่งนี้มักจะไม่ค่อยมีการกระทำที่ไร้มารยาทเช่นนี้บ่อยครั้งนัก
บางครั้งเขาก็จะมองถึงภาวะที่คนเห็นแก่ตัวนี้ดำรงอยู่เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับสังคมสมัยนี้เขาคงทำได้แค่หลีกลี้หนีไปให้ห่างๆเท่านั้น
บ่อยครั้งที่เขาเหลือบมองไปที่สันหนังสือแคบๆที่ชั้นปรัชญาแล้วเจอหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาของศาสนาพุทธ
เขาลองหยิบมันขึ้นมาอ่านแล้วครุ่นคิดต่อไป ถ้าจะว่ากันด้วยเรื่องศาสนา
ชายอ้วนผู้นี้เป็นพวก irreligion หรือเป็นภาวะที่ไม่มีศาสนา
ถึงชายคนนี้จะไม่มีศาสนาแต่เขาไม่เป็นปรปักษ์กับศาสนาใดทั้งสิ้นเพราะเขามองว่าทุกศาสนานั้นล้วนแต่มีเหตุผลของการดำรงอยู่ทั้งสิ้น
กล่าวคือในเรื่องของศาสนานั้นเกิดจากกระบวนการสร้างทางประวัติศาสตร์มันไม่ได้เกิดโดยความบังเอิญอย่างแนวทางวิทยาศาสตร์ในบางเรื่อง
ที่สำคัญทุกศาสนาล้วนสร้างให้มนุษย์ทุกคนดี
เราอาจกล่าวได้ว่าศาสนานั้นเป็นหนึ่งในโซ่ตรวนที่ใช้คอนโทรลสังคมในแกนหลักคือบรรทัดฐานของสังคม
นั่นนับเป็นเหตุผลที่ดีทีเดียวของการดำรงอยู่ของศาสนา
ชายอ้วนนั้นได้รับปรัชญาของนิทเช่ นักปรัชญาชาวเยอรมันในศตวรรษที่ 19 ไปเต็มๆ
จากการที่เขาสงสัยในความจริง สงสัยในความเป็นไปของโลก หากมีคนบอกโลกหมุน
แล้วใครกันเล่าที่เป็นคนหมุน?
ตอนนี้ชายอ้วนกำลังใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ในการวิเคราะห์ ตกผลึกจากการอ่านหนังสือปรัชญากองโตของเขาเอง
เขากำลังต่อสู้ถึงความคิดของเขา การเริ่มสงสัยในการเป็นไปของสังคม
เขาเริ่มกระสันที่จะค้นหามันแล้ว
ในการที่เขาได้ซึมซับศาสนาพุทธมาตั้งแต่วัยเยาว์จากครอบครัวเขา
โดยครอบครัวของชายอ้วนนั้นเป็นพุทธศาสนิกชนโดยเนื้อแท้
โดยทำหน้าที่เป็นพุทธศาสนิกชนไม่ขาด ไปปฏิบัติธรรมทุกๆวันสำคัญ
ทำบุญตักบาตรทุกเช้า เขาจึงขอใช้เวลาครุ่นคิดในเรื่องความเป็นไปในการขับเคลื่อนสังคมโดยใช้กรอบของศาสนาพุธที่เขารู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีมาเป็นแกนคิด
ในระหว่างที่เขาไม่ได้ไปโรงเรียนและใช้เวลานั่งบนเก้าอี้อันอ่อนนุ่มละมุนละไมภายในห้องสมุด
จากแนวคิดเรื่องการเหน็บแหนมทางศีลธรรมของประเทศไทยโดยเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านคือญี่ปุ่นนั้นกล่าวว่าประเทศไทยนั้นมีการจำกัดกรอบในการดำรงชีวิตของปัจเจกในสังคมโดยมีการควบคุมในด้านต่างๆเช่น
ระบบของการเซนเซอร์ การจำกัดอายุของผู้ชมหนังระดับเรท โดยการควบคุมนั้นค่อนข้างกว้างขวาง
ซึ่งลองมาเปรียบเทียบกับของประเทศญี่ปุ่นนั้น
โดยประเทศญี่ปุ่นมีการนำเสนอภาพรวมทางด้านเพศเปิดเสรีมากๆ
อนึ่งที่เอาเรื่องเพศมาเกี่ยวข้องด้วยนั้นเหตุผลคือเพศกับศีลธรรมนั้นเป็นของคู่กัน
เหมือนกับโลกคู่ขนาน โดยปัญหาเรื่องเพศนั้นมักจะแสดงออกด้วยการกระทำผิดศีลธรรมด้วยเสมอๆเช่น
การเกิดคดีข่มขืน การค้าประเวณี มักจะเป็นคำถามอยู่เสมอว่าประเทศไทยนั้นจำกัดเรื่องศีลธรรมอย่างมากมาย
แต่ญี่ปุ่นนั้นเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเปิดกว้างดูจากการที่มีระบบหนังAv(หนังผู้ใหญ่) โดยที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่การเกิดอาชญากรรมทางเพศของประเทศไทยกลับมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
ผิดกับประเทศญี่ปุ่น การปฏิรูปสื่อให้ปลอดภัยจากเนื้อหาที่สะท้อนค่านิยมทางเพศที่ไม่ถูกต้องหรือฉากข่มขืนภายในสื่อรูปแบบต่างๆนั้น
ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีเท่าที่ควรเป็น
ชายอ้วนครุ่นคิดอย่างตื่นตระหนกถึงเรื่องศีลธรรมในสังคมไทย
หลังจากที่ชายอ้วนนั่งจิบกาแฟผสมผสานกับมองไปนอกหน้าต่าง
จ้องมองต้นไม้ที่อยู่ข้างๆที่เขาอ่าน ใบไม้ของต้นฉำฉาต้นใหญ่พัดตามสายลมอย่างเป็นมิตร
เมื่อเหม่อมองดูแล้วสัมผัสถึงความสงบ ชายอ้วนผ่อนคลายอิริยาบทแล้วจับหน้าผากตัวเองพลางคิดว่า
เรานั้นอยู่ในโลกของป่าคอนกรีตเป็นป่าของการแย่งชิงเศษกระดาษ
ป่าที่ผู้คนต่างบรรจงประณีตที่จะแกะสลักเปลือกหน้าอันจอมปลอมเพื่อเอาไว้แสร้งใส่กันเช่นนั้นหรือ
ชายอ้วนไม่แปลกใจที่ผู้คนส่วนมากหลงใหลกับกิเลสอันโสมมจนไม่สามารถแยกแยะถึงความเป็นมนุษย์ได้ถึงเพียงนี้
กระแสธาราความคิดก็จับเจ่าอยู่กับเรื่องศีลธรรมอันเป็นกระบวนการขับเคลื่อนในสังคม
ภายในประเทศไทยที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ประเทศไทยของเรานั้นล้วนมีกระบวนการสร้างชาติในหลายๆกรอบแนวคิดในการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ
การปลูกฝังศีลธรรมลงไปในนั้นก็เป็นหนึ่งในกระบวนการพัฒนาศีลธรรมของประเทศไทยอย่างแยกกันไม่ออก
การปลูกฝังศีลธรรมนั้นแสดงออกมาในรูปของการศึกษา
โดยในระดับชั้นประถมมีการศึกษาวิชาวิชาศาสนา สังคมและวัฒนธรรมมาตั้งแต่ต้น
หากจะพูดง่ายๆคือศีล 5 นั้นเราสามารถท่องได้เสียกระทั่งตอนอยู่ชั้นประถมเลยก็ว่าได้
หากจะกล่าวถึงวัฒนธรรมของสังคมไทยในการคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมหรือความเชื่ออันเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงกระทำ
ชายอ้วนเผยอปากแล้วเตือนว่าคุณอย่าลืมนะครับว่ามนุษย์ในสมัยยุคกลาง ค.ศ.ที่5-15
ซึ่งอยู่ในยุคที่มนุษย์นั้นมีความคับแคบทางความคิด มนุษย์ไม่สามารถที่จะโงหัวทางความคิดได้เนื่องเพราะสมัยนั้นเริ่มจากยุคของการไร้ผู้นำมาปกครอง
มนุษย์ทำอะไรไม่เป็น
ศาสนาจึงมีความสัมพันธ์ในลักษณะที่โอบอุ้มหรือเข้ามาครอบงำสังคมในด้านต่างๆ
เราจึงสามารถมองได้ว่า
มนุษย์นั้นเมื่อตัวเองไม่สามารถที่จะมีความสามารถทำอะไรได้จึงต้องพึ่งสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่เสมอๆ
หรืออย่างเช่นการบูชาไฟ การบูชาพระอาทิตย์ หรือแม้แต่การบูชาโยนี(อวัยวะเพศหญิง) ในสมัยเมโสโปเตเมีย วัฒนธรรม ศีลธรรม
หรือในเรื่องศาสนาจึงไม่สามารถหลีกหนีจากชุดความคิดที่ว่า “เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น”
โดยมีจุดประสงค์คือเพื่อคุ้มครองตัวเองจากในโลกนี้หรือในโลกหน้า
อันเป็นผลมาจากที่ศีลธรรมนั้นมีหลายระดับโดยพิเคราะห์จากระดับของปัจเจกในแต่ละระดับ
คนบางระดับนั้นเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นการนิยมไหว้พระในระดับเกจิดังๆ
การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การเฉลิมฉลองในพิธีต่างเพื่อเป็นสิริมงคลในการกิจการต่างๆ
บ้างก็ทำบุญอธิษฐานหากโลกหน้ามีจริง
บุญจะส่งผลให้ร่ำรวยเจริญงอกงามในชาตินี้และมีความสุขในชาติหน้า
ตายไปได้เกิดในภพภูมิที่ดี
ชายอ้วนถึงกับนั่งทำหน้างงๆแล้วบรรจงเอามือขวาข้างที่ตนถนัดก่ายหน้าผากอย่างงุนงวยอีกครั้ง
พลางย้ำคิดย้ำถามกับตัวเองว่า สิ่งเหล่านี้คือ”ศีลธรรม” อย่างนั้นหรือ แต่ถึงกระนั้น นั่นก็เป็นการทำความดีมิใช่หรอกหรือ
ซึ่งนั่นก็คือMorality หรือศีลธรรมมิใช่หรือ
ศีลธรรมนั้นคือสิ่งที่ดีงามที่แสดงออกมาทั้งภายนอกผ่านการกระทำทางกายภาพหรือความดีงามที่อยู่ในจิตใจของตนเองการมีศีลในจิตใจของตนทำให้เกิดสำนึกในการเป็น”คนดี” เป็นที่ยอมรับของตนเองหรือผู้อื่น
โดยมีแกนกลางคือคือ”บุญ”
อันก่อให้เกิดแรงดึงดูดที่ทำให้เกิดสังคมที่สงบสุขได้ภายใต้สามัญสำนึกที่ดีงามของคนในสังคม
ศีลธรรมแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีแล้วอย่างนั้นหรือ
ชายอ้วนครุ่นคิดต่อไปพลางเคี้ยวขนมกรุบกริบเหตุคือเขานั่งคิดในเรื่องนี้จนกระทั่งลืมเวลาไปเสียเลย
เขาเหลือบไปเห็นบรรณารักษ์ของห้องสมุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่เคาน์เตอร์ใกล้ๆกับที่เขานั่งอยู่
บรรณารักษ์คนนั้นเป็นผู้หญิงวัยกลางคน ดูลักษณะท่าทางแล้วค่อนข้างมีนิสัยจู้จี้
ขี้บ่น และจริงจังเกินไป จนทำให้ชายอ้วนคนนั้นนึกถึงเมื่อเขาเป็นเด็ก
เขาได้ไปเยี่ยมคุณป้าที่อยู่ต่างจังหวัด
คุณป้ามีนิสัยค่อนข้างเจ้าระเบียบและหัวโบราณขัดกับนิสัยของเด็กวัย6ขวบอย่างเขามากโข
มีช่วงนึงที่เขาปั่นจักรยานเล่นแถวๆนั้นจนกลับเมื่อหลังจากตะวันตกดินแล้วสักพัก
นั่นทำให้เขาถูกคุณป้าดุจนร้องไห้งอแง
ชายอ้วนเห็นบรรณารักษ์คนนั้นจึงจิตนาการว่าคงไม่ต่างจากคุณป้าจอมโหดของเขาสักเท่าไรนัก
เขาไม่ต้องตัดสินใจอะไรให้มากนักเมื่อเห็นหน้าตาของบรรณารักษ์ที่อยากจะกลับบ้านเต็มแก่ในบริบทของพนักงานหาเช้ากินค่ำอย่างที่ทราบๆกัน
ชายอ้วนจึงย่างเท้าออกไปจากห้องสมุดพร้อมกับตะวันพลาพลับหลังดิ่งจมลงนภาได้ไม่นาน
บรรยากาศชวนสลัวขุ่นมัวในช่วงเย็นของมหาลัยแห่งนี้คราค่ำไปด้วยแสงสีเทาครึ้มต้อนรับพระจันทร์คราราตรีที่กำลังเดินทางผลัดยามทำหน้าที่แทนพระอาทิตย์
ที่พักของเขาอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยนัก
ระหว่างทางที่เขาย่างเท้าเดินกลับบ้านนั้น
เขาได้แวะไปซื้อข้าวกล่องไปนั่งกินระหว่างอ่านหนังสือแนวปรัชญาของเขาต่อ อันที่จริงแล้วที่แล้วเขาจะไม่ค่อยทานข้าวเย็นเสียเป็นส่วนมาก
แต่เขามักจะออกมาซื้อของระบายลงท้องอันอ่อนนุ่มของเขาในช่วงดึกๆในตอนอ่านหนังสือที่กำลังถึงจุดไคล์แม็ก
แต่วันนี้เป็นวันที่เขาใช้ความคิดมาตลอดทั้งวันเขาจึงเลือกที่จะทานข้าวเย็นเพื่อให้ท้องของเขาอิ่มเอมไปด้วยรสชาติเผ็ดร้อนของอาหาร
ทำให้เกิดความแผ่ซ่านไปทุกอณูในการจรดขอบตาอันดำคล้ำของเขาอันจะทำให้เขาได้เสพรสชาติของตัวอักษรในหนังสือเล่มโปรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เมื่อเขากลับมาถึงบ้านจวนเจียนจะเอนเอียงเพราะความอ่อนล้าทั้งตัว
ชายอ้วนชอบใฝ่หาความรู้อยู่แทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ การฟัง
หรือแม้แต่การเขียน ทักษะต่างๆทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอๆ เขาถ่อมตนในความรู้ของเขามาก
โดยเขาเปรียบว่าความรู้ของเขาแม้ตัวเขาเองจะคิดว่ารู้เยอะมากเท่าไร
แต่ในความเป็นจริงแล้วความรู้นั้นอาจเป็นเศษละอองน้ำในทะเลกว้างเสียก็ได้ เขาจึงค้นคว้าหาความรู้อย่างไม่มีคำว่าพอ
สำหรับในยุคนี้การค้นหาความรู้นั้นทำได้ไม่อยาก เราสามารถสูบบุหรี่พร้อมกับการนั่งจิบกาแฟกดสมาร์ทโฟนเพื่อต้องการเสพความรู้ได้ในทันทีทันใด
หลังจากชายอ้วนทานข้าวเย็นเสร็จแล้ว
เราก็งีบไปสักพักที่ฟูกนอนอันอ่อนนุ่ม อย่างทันทีทันใด
เขาสะดุ้งตื่นมาพร้อมกับเสียงปลุกเพลงTake
me home ของ John denver ในเวลา
4ทุ่มอันเป็นเวลาอ่านหนังสือของเขา
เขานั่งใคร่ครวญถึงความคิดเมื่อตอนกลางวันของเขา
หากศีลธรรมนั้นคือสิ่งดีงามที่อยู่ภายในจิตใจผ่านการแสดงออกมาภายนอก
ชายอ้วนคุ้นชินกับการวิเคราะห์อย่างพร่ำพรึงถึงความน่ากลัวในความดี
เขาคิดว่าหากความดีกับศีลธรรมมันเป็นคนละเรื่องกันละ จะเป็นศีลธรรมได้หรือไม่
หากเราลองแยก”ความดี” ออกจาก”ศีลธรรม”
ตัวอย่างง่ายๆจากหนังสือปรัชญาของอิมมานูเอล คานต์ นักปรัชญาสายโรแมนติค-นิยมที่เขาเพิ่งอ่านเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา
เช่น “มีดเล่มนี้ดี” ก็ไม่ได้แปลว่ามีดเล่มนี้มีศีลธรรม
แต่มีดใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกระทำของคนเราบางอย่างเช่น “พ่อค้าซื่อสัตย์เพื่อต้องการให้ลูกค้าเชื่อถือ กิจการของตนจะได้มั่นคง”
แบบนี้ก็คือการทำดีในความหมายว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพอันมีผลจะทำให้กิจการของพ่อค้ามั่นคง
มันก็คือการลงทุนแบบหนึ่ง ไม่ใช่ความดีทางศีลธรรมแต่อย่างใดเลย
ความดีทางศีลธรรมนั้นสามารถอธิบายได้จากตัวอย่างข้างต้น
ถ้าพ่อค้ารักษาความซื่อสัตย์ ก็คือว่าความซื่อสัตย์รักษาคุณค่าในตัวมันเอง
และเป็นหน้าที่ที่ต้องรักษาความสื่อสัตย์โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ อย่างนี้ถือว่าเป็น”ความดีทางศีลธรรม”
ความดีไม่ใช่เครื่องมือไปสู่สิ่งอื่น ถ้าคุณทำดีเพื่อไปสวรรค์
เพื่อให้ได้สิ่งต่างๆที่คุณต้องการ ความดีที่คุณนิยามก็ไม่ต่างอะไรจากเครื่องมือ
เช่นเงิน เราใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แต่ความดีทางศีลธรรมไม่ใช่เครื่องมือ
เราทำความดีเพื่อความดี ไม่ใช่เพื่อนำไปสู่สิ่งอื่น
ความดีมีคุณค่าในตัวมันเองอยู่แล้ว ชายอ้วนคงคิดต่อไปว่า
หรือศีลธรรมนั้นเป็นเพียงการตีความ มันไม่จริง ไม่มีจริง
หรือไม่ได้ถูกต้องไปกว่าระบบอื่นๆแต่พวกเรากลับถูกครอบงำให้ตกอยู่ภายใต้ระบบศีลธรรม
อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่ชายอ้วนตะหนักถึงก็คือเราไม่ควรจะไปยึดติดในการค้นหาความจริงอย่างเคร่งครัดเกินไป
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหมุนเวียนอยู่ในโลกของมันเองเมื่อเวลาผ่านไป
ความจริงทุกอย่างก็มักมีคำตอบใหม่ๆมาให้เราเสมอ
อาจกล่าวได้ว่าไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์ใดๆมากำหนดให้มนุษย์เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งนอกจากตัวคนนั้นเลือกที่จะเป็นแบบนั้นเอง
ชายอ้วนลุกขึ้นมากวาดเศษขยะแล้วยังคงอ่านหนังสือต่อไปอย่างเงียบๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น