เรื่องสั้น ธเนศ
หลังจากละครหลังข่าวจบ
ในช่วงเวลาที่ห้วงอากาศเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทนาน
ดาวที่แวววับประกายเด่นจ้าในช่วงหัวค่ำเริ่มหลบถอยไปตามกาลเวลาที่หมุนไปอย่างช้าๆ
แต่ระหว่างที่เขาดูละครหลังข่าวจบไปอย่างเพลินหูเพลินตา
ทำให้ช่วงเวลาหมุนอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาที่ติดละครจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันคิดว่าการหมุนของเวลาทำไมมันเร็วนัก
ในเวลาที่ละครกำลังฉาย หากแต่เวลานั้นหมุนช้าๆในช่วงที่เขานั่งบื้อ
อดรนทนรอเพื่อให้ข่าวค่ำจบไปไวๆเพื่อดูละคร เขาเป็นผู้ชายที่เฉยชาในโลกของความเป็นจริงเสมอๆเขาชอบนั่งจับเจ่าอยู่ที่ละครทีวีหลังข่าวเป็นประจำทุกวัน
ทั้งยังชอบอ่านนิยายพาฝันเป็นประจำๆ เขาหลบหนีจากโลกของความเป็นจริงอย่างนั้นหรือ
อันที่จริงแล้วเขาอาจจะมีปมด้อยในโลกของความเป็นจริงที่ขื่นขมก็เป็นได้
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย พ่อของเขาเป็นถึงศาสตราจารย์ประจำคณะหนึ่งในมหาลัยภาครัฐที่โด่งดังในประเทศ
ทั้งยังเขียนหนังสือทางวิชาการเป็นประจำๆ ส่วนแม่ของเขานั้นวุ่นกับการทำตัวเป็นแม่ตัวอย่างที่ดีด้วยการออกหน้าออกตาทางสังคมยกยอปอปั้นลูกชายต่างๆนาๆประหนึ่งว่าลูกชายของเธอนั้นเป็นมนุษย์ที่มาจากยูโทเปียก็ไม่ปาน
จึงไม่แปลกนักที่แม่ของเขาจะเป็นนายกสมาคมแม่บ้านดีเด่นของประเทศ กระนั้นก็ตาม
เขาก็ยังเบื่อในความที่ไม่ว่าพ่อหรือแม่ของเขานั้นยัดเยียดในสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้ซะอย่างนั้น
เขาไม่ต้องการชีวิตในแบบเดิมๆของเขาเขาต้องปฏิวัติตัวเอง
เขาต้องการสิ่งใหม่ๆเข้ามาในชีวิตเพื่อใช้ชีวิตที่หวือหวาและสดใสมากกว่าการที่เขาถูกพ่อเข็นให้อ่านหนังสือทุกวันหลังจากกลับจากโรงเรียน
การที่ถูกบังคับให้ไปเรียนพิเศษในสถาบันสอนพิเศษที่มีชื่อในจังหวัด
เขามักจะเบื่อหน่ายจากการที่เพื่อนในที่เรียนพิเศษปั้นหน้าใส่กัน
รวมถึงการโชว์ของแบรนด์เนมที่เขามองแล้ว
มันคือของเล่นที่เขาผ่านตามาแล้วทั้งนั้นในวัยเด็ก
เขาเบื่อในสิ่งเหล่านี้คล้ายกับว่ามันกำลังระเบิดความรำคาญในใจเขา ชีวิตของเขานั้นถูกปอปั้นมาจากสิ่งที่พ่อแม่โยนมาให้ด้วยความปรารถนาดีในความคิดของพ่อแม่
แต่เป็นสิ่งที่ร้ายกาจในความคิดของเขา
แม้แต่ชื่อของเขายังถูกตั้งตามชื่อพ่อและแม่ที่นำมาผสมผสานเข้ากันจนได้ชื่อว่า “ธเนศ”
ธเนศเป็นชายหนุ่มวัยกระเตาะเรียนอยู่ช่วงชั้นมัธยมต้นที่หน้าตาดีพอสมควร
ผมของเขาสีดำขลับปลิวไสวรับกับสายลมที่พัดผ่านมา รูปร่างของเขาดูกระฉับกระเฉง
จมูกดูสันเป็นทรงเข้ารูป
มีดวงตาที่แหลมคมผสมกับขอบตาที่คล้ำหมองจากการที่นอนดูละครดึก
เขาสวมชุดไฮสกูลดูเข้ารูปอย่างพอเหมาะพอควร ธเนศเดินทางมาโรงเรียนด้วยปอเช่คันสีแดงแสบตาที่เขาเลือกมารถสปอร์ตหรูคันโปรดของเขา
5 คันจากในโรงรถ ธเนศไม่เป็นกังวลในเรื่องของกฎหมายในการที่เขาอายุไม่ถึงในการขับรถยนต์ส่วนบุคคล
เพียงแค่เขาเผยอหน้าไปหาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
เขาคนนั้นก็ส่งสายตาให้ธเนศแล้วก็ปล่อยไปอย่างเฉียบไว เป็นที่แน่นอนว่าอิทธิพลของตระกูลธเนศนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
เขารู้สึกว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เบื่อและง่ายดายเสียยิ่งกว่านอนไขว่ห้างแล้วกินโคล่าสุดโปรดของเขาในระหว่างที่ดูละครเสียอีก
เขาเผาหัวก่อนเข้าเรียนด้วยการเดินเข้าร้านสะดวกซื้อหน้าโรงเรียนแล้วหยิบเบียร์มากระแทกปากหยามป้าย
ห้ามขายเบียร์ให้เด็กอายุต่ำกว่า20ปี อย่างหน้าตาเฉย
ในการที่เขาควักแบงค์สีเทาๆให้กับพนักงานขายและกระซิบเบาๆว่า “ไม่ต้องทอน”
มันทำให้เขาตะหนักรู้ถึงความไร้ค่าของเศษกระดาษอย่างเฉยเมย
เขาจิบเบียร์ครั้งที่สามในชีวิต จะว่าไปธเนศกินเบียร์ครั้งแรกในตอนที่ละครที่เขาดูในตอนจบ
แล้วตอนจบของละครไม่สมหวังอย่างที่เขาคิดไว้
ช่วงนั้นเขาไม่สบายใจมากรวมถึงความกระวนกระวายใจ
จนมาหยุดที่ชั้นล่างในตู้เย็นของพ่อบ้าน เขาเห็นเบียร์อยู่ในนั้นสองขวด
เขาลองลิ้มรสมัน แต่มันดูไม่อร่อยเลย มันขมมากเขาพะอืดพะผมในท้อง แต่นั่นกลับทำให้ความกระวนกระวายใจของเขาหายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างไม่เคยมีมาก่อน
นั่นคือประสบการณ์ที่ธเนศได้ดื่มด่ำกับรสชาติเครื่องดื่มมึนเมาเป็นครั้งแรก
ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ดูง่ายดายไปเสียหมด ในเรื่องการเรียนของธเนศ
เขาแทบจะไม่ต้องขวานขวยอะไรเลย เขานั่งเรียนเพียงเศษหนึ่งส่วนสามของคาบเรียน
หลังจากนั้นเขาก็นั่งเหม่อลอยถึงละครที่เขารอดูในตอนค่ำ
แต่เขาก็ได้เกรดเฉลี่ยในรายวิชานั้นๆในระดับท็อปเสมอๆ ในเมื่อเขาเป็นแบบนี้
เขาคิดว่าจะปฏิวัติตัวเองได้อย่างนั้นหรือ
หากธเนศต้องการจะปฏิวัติตัวเองจากความง่ายดายในการดำเนินชีวิตในสังคมที่มุ่งต้องการแต่กระดาษสีเทาๆอย่างแท้จริง
เขาคิดเล่นๆว่าเขาคงต้องเป็นขอทานแล้วลองลำบากเหมือนคนอื่นๆดูบ้าง
แต่นั่นเป็นเพียงความคิดที่สุดโต่งเกินไป
ในเมื่อเขาเป็นขอทานแล้วรอคนเอาเศษเหรียญมาให้แลกกับการทำหน้าอ่อนโยนไปด้วยความน่าสงสารแบบจอมปลอมที่หวังแต่เพียงเศษเหรียญเพื่อมาประทังชีวิต
มันก็คงดูน่าเบื่อไม่ต่างกันจากโลกที่เขาเป็นอยู่
เพียงแต่สลับกันจากรวยหรือจนเท่านั้น
คำสองคำนี้ไม่อาจเป็นตัวชี้วัดถึงอนาคตที่ธเนศต้องการได้
บ่ายวันหนึ่งมีแขกของพ่อเขามาหาที่บ้าน
บ้านของธเนศเป็นบ้านแนววินเทจในแบบที่พ่อของเขาโปรดปรานมากที่สุดเป็นบ้านแนวย้อนยุคหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่นอกชานเมืองมาหน่อย
ดูๆแล้วยังหลีกหนีไม่พ้นถึงกลิ่นอายของบ้านที่เป็นกึ่งราชวังผสมเข้ากับคฤหาสน์ไปในตัว
ชายหนุ่มที่มาหาพ่อของธเนศนั้นเขาเป็นชายแก่ที่ดูแล้วค่อนข้างมีไลฟ์สไตล์วัยรุ่นไม่จาง
ชายแก่แต่งตัวแนวๆวัยรุ่นประหนึ่งว่าเขาเพิ่งผ่านพ้นช่วงวัยที่เขาเตะปี๊ปดังได้มาหมาดๆทั้งๆที่เขาอายุแทบจะ60
ปี อยู่แล้ว แต่พ่อของธเนศยังไม่มา ชายแก่ขยับขาที่อ่อนแรงลงนั่งที่โต๊ะรับแขก ธเนศนั่งอ่านหนังสือวิชาฟิสิกส์ซึ่งเป็นวิชาโปรดของเขาอยู่ที่ห้องอ่านหนังสือที่ประกอบไปด้วยชุดเครื่องเขียนครบชุด
รวมถึงหนังสือที่ธเนศซื้อมาอ่านเพื่อเก็บไว้
ไม่ผิดนักถ้าเรามองว่าเป็นห้องสมุดขนาดย่อมๆ
คล้ายกับห้องแลปที่ตกแต่งไปในบรรยากาศที่ขมุกขมัวไปด้วยความคุ้นชินกับเศษซากของความรู้ที่เบ่งบาน
ธเนศมองชายแก่คนนั้นแล้วครุ่นคิดว่าจะเข้าไปทักทายดีไหม
เขารู้สึกอยากรู้จักกับชายแก่คนนี้เสียยิ่งกว่าผู้หญิงที่น่ารักที่สุดในโรงเรียนที่เขาโปรดปรานเสียอีก
แต่กระนั้นเขาก็หยุดชะงักงัน เมื่อเขาเห็นหัวข้อในหนังสือที่เขาอ่าน
พลางกับเพ่งสายตามองที่หัวข้อหนึ่งของหนังสือเล่มนั้น
ใช่แล้วนี่คือหัวข้อที่เขาทำคะแนนตอนสอบได้น้อยที่สุดในช่วงกลางเทอม
เขาจะต้องอ่านและทำความเข้าใจกับมันก่อนเสีย จะไปสนใจกับสิ่งอื่นซิ ในระหว่างที่ธเนศกำลังอ่านหนังสือในหัวข้อที่สำคัญอยู่นั้น
พ่อบ้านวัยกลางคน หนวดเฟิ้มพอเป็นรูปทรงไม่ถึงกับรุงรังเท่าไรนัก
พ่อบ้านคนนี้เป็นพ่อบ้านที่รับใช้ตระกูลของธเนศมาหลายๆรุ่นแล้ว เขาเดินเสิร์ฟน้ำมาให้กับชายแก่พร้อมกับชี้ชวนบอกให้ชายแก่ผู้มาเยี่ยมเยียนแวะชมรูปภาพ
Starry Night Over The Rhone ของแวนโก๊ะไปพลางๆ
ธเนศยังคงนั่งอ่านหนังสือต่อไปเรื่อยๆโดยที่เขาไม่ทราบเลยว่าชีวิตของเขากำลังจะเกิดเรื่องที่ยุ่งยากและไม่เป็นไปตามที่เขาประสบพบเจออีกต่อไป
หลังจากนั้นอีกไม่นานพ่อแม่ของเขาเดินลงจากบนบ้าน
พวกเขาค่อยๆก้าวลงมาช้าๆผ่านบันไดหินอ่อนที่แกะสลักเป็นลวดลายสัญลักษณ์อิยิปต์โบราณในสมัยของกษัตริย์ตุตันตามุน
พ่อแม่ของเขายิ้มทักทายชายแก่ที่นั่งรอที่ห้องรับแขกอย่างอบอุ่น
ชายแก่หยิบซิการ์ยี่ห้อ Cohiba ที่เป็นยี่ห้อโปรดของฟิเดล
คาสโตร นักปฏิวัติชาวคิวบาที่อยู่ในกระเป๋าบอดี้สูทข้างซ้ายแล้ว
แล้วบรรจงจุดไฟซิการ์แล้วลิ้มรสความหอมหวานของควันอย่างละเมียดละไม
เมื่อควันของซิการ์ดับลง เขาค่อยๆหยิบของที่อยู่ในกระเป๋า
ธเนศจ้องมองเขาอยู่หลังจากละสายตาจากหนังสือ “เปรี้ยง เปรี้ยง”
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ธเนศสะดุ้งตกใจอยู่ไม่ถูก
เขางงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภาพที่เขาเห็นคือ พ่อแม่ของเขานอนทรุดจมกับกองเลือดสีแดงซ่าน
เขาแผดเสียงร้องอย่างสุดเสียงที่ลำคอเล็กๆของเขาจะสามารถเปล่งมันออกมาได้
เขาภาวนาว่ามันคือฝันร้าย เขาต้องตื่นจากความฝันซะทีซิ
มันไม่จริงใช่ไหมแต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือความจริง
พ่อแม่ของเขาจากไปแล้วจากไปโดยที่ไม่มีวันกลับมา ถึงที่สุดแล้วชายแก่คนนั้นนั่งชันเข่าแล้วมองหน้าธเนศ
ชายแก่ยิ้มให้ธเนศจากนั้นเขาก็จากไป ธเนศยังทำอะไรไม่ถูก
เขาไม่พบชายแก่คนนั้นอีกเลย
แต่แปลกว่าทำไมเขาไม่รู้สึกโกรธชายแก่คนนั้นเลยหรือนี่จะเป็นบัญชาจากสวรรค์ที่ทำให้เขาไม่ต้องใช้ชีวิตโดยที่ถูกพ่อแม่บงการแล้วดำเนินชีวิตแทนเขาแล้วกระนั้นหรือ
นี่คือสิ่งที่ง่ายดายที่สุดในเวลานี้
ทรัพย์สมบัติมากมายล้นเหลือตกสู่ทายาทเพียงคนเดียวนั่นก็คือเขา พ่อแม่เขาจากไปแล้ว
ต่อจากนี้เขาต้องอยู่ด้วยตัวคนเดียวแล้ว ธเนศไม่เคยเห็นเลือดตรงๆขนาดนี้เลย
เขาเกลียดเลือด เกลียดสีแดงเพราะเขาคิดเอาว่าสีแดงคือเลือด
เลือดมีนัยยะของความสูญเสีย เขาเกลียดความสูญเสีย
แม้กระทั่งของใช้ราคาแพงที่เขาใช้จนเบื่อแล้วเขาก็ยังไม่เอาทิ้ง
เพียงนำมากองไว้ระเกะระกะในห้องเก็บของเท่านั้น ถึงอย่างนั้นร่างของพ่อแม่ของเขาที่หมดลมหัวใจ
ยังคงหลอกหลอนธเนศอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น