วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

หลักกฎหมาย:คดีมโนสาเรคือ?

ทบทวนหลักกฎหมายหัวข้อ คดีมโนสาเร่ไม่ยากเลย 5555

189..คดีมโนคือ คดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นตัวเงินได้ไม่เกิน 300000 บาท เรียกอย่างง่ายๆว่า คดีมีทุนทรัพย์ คือ เป็นคดีที่เรียกร้องเอาทรัพย์สินมาเป็นของโจทก์หรือเป็นคดีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องที่เป็นหนี้เงินอันเป็นของโจทก์ที่คำนวณเป็นราคาเงินได้ กล่าวคือต้องเป็นคดีที่ถ้ามีคำขออันใดที่หากศาลพิพากษาให้ตามคำขอแล้วจะมีผลให้โจทก์ได้ทรัพย์สินมาเป็นของโจทก์หรือได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นมานั่นเอง

Ex1  ก.มีตัง 10000 ให้ ข.ยืม ไป10000 ข.ไม่คืน ก.สามารถฟ้อง ข.ได้อย่างคดีมีทุนทรัพย์ โดยพิจารณาจากกฎหมายสารบัญญัติ ม.650 การกู้ยืมเงินนั้นกรรมสิทธิ์ย่อมโอนไปยังผู้ยืม ดังนั้น การที่ ก.ให้ ข.ยืมเงินไป 10000 บาท กรรมสิทธิ์ในเงินนั้นย่อมสิ้นไปแล้ว หลักของอ.หาก กรรมสิทธิตัดไปแล้วย่อมถือว่า ก.ที่เป็นเจ้าของทรัพย์ขาดจากการเป็นเจ้าของแล้วนั่นเอง หากศาลมีคำพิพากษาตามคำขอย่อมทำให้ ก.ได้ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมานั่นเองครับ
Ex2 คดีฟ้องเพิกถอนการให้โดยเหตุผู้รับเนรคุณ “การให้นั้นกรรมสิทธิ์ตกเป็นของผู้รับ” การเพิกถอนดังกล่าวก็มีผลให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินกลับคืนมาเป็นของผู้ให้ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์
Ex3 คดีที่ผู้ขายฝากฟ้องขอให้ไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝาก โดยอ้างว่าได้ใช้สิทธิไถ่ภายในกำหนดแล้ว เนื่องจากสัญญาขายฝากนั้น”กรรมสิทธิ์โอน” ไปยังผู้ซื้อฝากแล้ว ... จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์
Ex4 ให้เพื่อนยืมมอไซ(ยืมใช้คงรูป กรรมสิทธิ)ยังไม่โอน ผลของคำพิพากษาไม่ทำให้ โจทก์ได้ทรัพย์เพิ่ม จึงไม่เป็นคดีมีทุนทรัพย์

คดีไม่มีทุนทรัพย์คือ คดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันมิอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ได้แก่ คดีที่มีคำขอให้กระทำการหรือละเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ของโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้เรียกร้องหรือกล่าวอ้างเป็นจำนวนเงินหรือทรัพย์สิน...รวมถึงคดีที่โจทก์เรียกร้องหรือขอในสิ่งซึ่งเป็นของตนอยู่แล้วหรือเพียงขอให้ศาลแสดงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งโดยผลของคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นเองไม่ทำให้โจทก์ได้ทรัพย์สิ่งใดเพิ่มขึ้นมา

ขั้นแรกที่ต้องพิจารณาว่าเป็นคดีมโนสาเร่หรือไม่ คือ 1.ต้องดูว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่ ถ้าเป็น ก็ดูวงเงินภายใน 3แสนบาท หากอยู่ในวงเงินนั้นก็เป็นคดีมโนสาเร่ ถ้าไม่เป็นคดีที่ไม่ทุนทรัพย์ โดยหลักแล้วไม่เป็นคดีมโนสาเร่(ชาตินี้ไม่เป็น) ดูจากตัวบทมาตรา 189(1) ถ้ามันไม่เป็นคดีมโน มันจึงเป็นคดีแพ่งสามัญ ฟ้องที่ศาลจังหวัด ยกเว้นคดีไม่มีทุนทรัพย์ประเภทฟ้องขับไล่ตาม 189(2) แสดงว่าคดีไม่มีทุนทรัพย์นั้นมีหลายประเภท ครอบครองปรปักษ์ ร้องขอจัดการมรดก ร้องขอใหร้านคาราโอเกะเสียงเบาๆฯ โดยพิจารณาตาม 188(2)  แสดงว่าคดีประเภทฟ้องขับไล่จะเป็นคดีมโนสาเร่ไหม? ก็ไม่แน่ มันจะต้องเข้าองค์ประกอบ 189(2) ... ค่าเช่าต้องไม่เกิน 30000 แล้วถ้าเกินละ 40000 =มันก็เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ที่ไม่เข้าข้อยกเว้น ตาม189(2) มันก็เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ = เป็นคดีแพ่งสามัญฟ้องที่ศาลจังหวัด สังเกต 189(2)ก็ยังเป็นคดีที่ไม่มีทุนทรัพย์อยู่นะ แต่กฎหมายบอกว่าถ้า “ค่าเช่าไม่เกิน30000” เขาให้ถือว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ที่เป็นคดีมโนสาเร่ นี่แหละคือสาเหตุที่ต้องไปฟ้องที่ศาลจังหวัดก่อน อยู่ดีๆจะไปฟ้องที่ศาลแขวงเลยไม่ได้ ค่าเช่าเดือนละ 30000 ถ้าคุณคิดว่าฟ้องขับไล่ค่าเช่าไม่เกิน 30000 ไปฟ้องที่ศาลแขวงก่อนเลย ผิดนะครับ คุณอย่าเข้าใจว่าคดีมโนสาเร่ต้องไปฟ้องที่ศาลแขวงก่อนทั้งหมด มันไม่ใช่เพราะถึงแม้มันจะเข้าข้อยกเว้นค่าเช่าเดือนละไม่เกิน 30000 แต่มันก็ยังเป็นคดีที่ไม่มีทุนทรัพย์อยู่ดี ศาลแขวงไม่มีอำนาจพิจารณา เพราะศาลแขวงพิจารณาแต่คดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 3แสนเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นคดีมโนสาเร่ตาม 189(2) ยังคงพิจารณาอยู่ที่ศาลจังหวัด โดยศาลจังหวัดเอาวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่มาใช้ในการพิจารณาคดี
พูดน้อยๆไม่ให้สับสนคือ ถ้าเกิดมันเป็นคดีฟ้องขับไล่ แต่ค่าเช่ามันเกิน 30000 มันก็ไม่ใช่คดีมโนสาเร่ แต่มันก็เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์อยู่อย่างนั้น เพราะไม่เข้าองค์ประกอบ 189(2)

***คดีครอบครองปรปักษ์เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ไหม = ไม่มี แม้แต่คดีฟ้องขับไล่ตาม 189(2) ถ้าไม่เกิน 30000 ซึ่งเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ มันจะกลายเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ได้ไหม **ยกเว้นรอบ 2 = มันเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ได้นะ 1382 ฟ้องขับไล่ออกจากที่ดิน จะกลายเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ได้ ต้องดูที่คำให้การจำเลย ว่าเป็นคำให้การต่อสู้กรรมสิทธิไหม คดีที่ไม่มีทุนทรัพย์ทุกประเภท ถ้าจำเลยให้การโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิเมื่อไร จะกลายเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ทันที เมื่อมันกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ มันจึงแปรเปลี่ยนไปพิจารณามาตรา 189(1)เพื่อจะดูว่าเป็นคดีมโนสาเร่หรือไม่(ดูวงเงิน 3แสน) ทันที

Ex1 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่าไม่ออกจากที่ดินแปลงนี้เพราะที่ดินแปลงนี้เป็นของพ่อจำเลย
Ex2 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่าไม่ออกจากที่ดินแปลงนี้เพราะครอบครอบปรปักษ์ ขอให้ศาลยกฟ้อง
Ex3 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่าไม่ออกจากที่ดินแปลงนี้เพราะที่ดินแปลงนี้โจทก์ได้ขายให้จำเลยแล้ว
Ex4 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่าไม่ออกจากที่ดินแปลงนี้เพราะสัญญาเช่ายังไม่หมดเลย
**อันไหนเป็นคำให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์บ้าง
การโต้แย้งกรรมสิทธิ์มีหลักอยู่ว่าต้องกล่าวอ้างว่าทรัพย์นั้นเป็นของตัวเอง
ตัวอย่างที่ 1 ไม่ เพราะอ้างว่าเป็นของพ่อ
ตัวอย่างที่ 2 ใช่
ตัวอย่างที่ 3 ใช่
ตัวอย่างที่ 4 ไม่ เพราะที่ดินยังเป็นของโจทก์อยู่ เพียงแต่จำเลยมีสิทธิตามสัญญาเช่า คือไม่ได้โต้แย้งกรรมสิทธิเลย แค่อยู่เพียงอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่า
***//ตัวอย่างทั้งหมดไม่ใช่คดีที่มีทุนทรัพย์เลย แต่มันอาจจะกลายเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ได้ ต่อเมื่อจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ แล้วการต่อสู้กรรมสิทธิ์นั้นต้องต่อสู้ว่าเป็นของตัวเองเท่านั้น ถ้ามีการต่อสู้= กลายเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์แล้ว มันจะเป็นคดีมโนสาเร่หรือคดีแพ่งสามัญก็ต้องดูที่ทุนทรัพย์ว่าราคาเท่าไร ถ้าทุนทรัพย์เกิน3แสนเมื่อไร มันไม่ใช่คดีมโนสาเร่ แต่จะกลายเป็นคดีแพ่งสามัญ ถ้าเป็นคดีมโนสาเร่ วิธีพิจารณาทั้งหมดใช้แบบมโนสาเร่เลย

***Ex.ให้ยืมรถมอไซราคา 30000 เพื่อนเอาไปจำนำแล้ว คืนไม่ได้ = ไม่ได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์ ต้องอย่าลืมว่ามันเป็นคดีที่ไม่มีทุนทรัพย์(เป็นการฟ้องเอาทรัพย์ตัวเอง ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นมา) จะพิจารณาอย่างคดีมโนสาเร่ไม่ได้ ต้องไปพิจารณาคดีอย่างแพ่งสามัญไปศาลจังหวัด คล้ายๆกับตัวอย่างด้านบน
แต่ถ้าเพื่อนโต้แย้งว่าโจทก์ขายให้แล้ว = เป็นการโต้แย้งกรรมสิทธิ์>กลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์>พิจารณา198(1)
***Ex.ยืมแหวนราคา30000 จำเลยบอกว่าหาย คำว่าหาย= ไม่ได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์นะ เขาก็ยอมรับว่าแหวนเป็นของโจทก์อยู่ = มันเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ >ไปฟ้องที่ศาลจังหวัด เป็นคดีแพ่งสามัญ แม้ว่าราคาเท่าไรก็ตาม  ระวังโดนหลอก****
***ค่าเช่าไม่เกิน 30000 เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ต้องไปฟ้องที่ศาลจังหวัด แต่ศาลจังหวัดจะรับฟ้องแบบมโนสาเร่เพราะมันเข้า 189 (2) สรุปง่ายๆคือเป็นคดีมโนสาเร่ที่ต้องฟ้องที่ศาลจังหวัด โดยคนส่วนใหญ่ที่โดนหลอกมักจะคิดแต่ว่า คดีมโนสาเร่ต้องฟ้องเฉพาะที่ศาลแขวงเท่านั้น ระวังโดนหลอก

โปรดติดตามตอนต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น