ณ.คลาสเรียนนิติปรัชญาเมื่อตอนเย็น หลังจากอาจารย์เปรยแนวคิดหัวข้อหลักๆคือสำนักกฎหมายบ้านเมือง จากนั้นอ.ได้เล่าถึงนักคิดสองคนคือ john austin+jean bodin ...
เมื่อจบแล้วอาจารย์ได้ให้ทำกิจกรรมหน้าชั้นเรียนโดยให้เอาวัตถุ(เทียน)มาตีความแนวคิดของสองคนนี้และให้หาจุดต่างของแนวคิดทั้งสองคนนี้ สารภาพตามตรงว่าทีแรกคิดว่าหมูๆเพราะว่าพอจะเข้าใจแนวคิดของสำนักกฎหมายทั้ง3สำนักมาบ้าง(เล็กน้อย) แต่เอาจริงๆพอไปพูดข้างหน้ารู้สึกว่าตัวเองพูดตะกุกตะกัก คงไม่ผิดนักถ้าคิดว่าตัวผม"แม่งบ้า"พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง 555+
กลับบ้านมาลองทบทวนตัวเอง..ไปเปิดหนังสือนิติปรัชญาของนักคิดแต่ละสำนัก พบว่าไอ้นักคิดทั้งสองคนนี้มันเป็นนักคิดของสำนักกฎหมายบ้านเมือง(เหมือนกัน) ทำให้รู้ว่าการที่เรารู้ว่านักคิดแต่ละสำนักคิดยังไงมันต่างกันยังไง แต่ถ้าให้ลองเปรียบเทียบนักคิดในสำนักเดียวกันว่ามันคิดต่างกันยังไงกลับ"เอ๋อแดก"ซะอย่างนั้น
ลองวิพากษ์สำนักกฎหมายทั้งสามสำนักแบบกากๆ
สำนักกฎหมายธรรมชาตินั้นมองว่ากฎหมายที่เป็นอยู่กับกฎหมายที่ควรเป็นไม่ใช่เรื่องเดียวกัน สำนักนี้เถียงสำนักกฎหมายบ้านเมืองเน้นๆ โดยโชว์แนวคิดว่าการสร้างคุณค่าของกฎหมายนั้นไม่เฉพาะเจาะจงสำหรับแง่ของ"บุคคล"ที่อยู่ในฐานะที่จะออกกฎหมายมา กฎหมายที่แท้จริงสำหรับสำนักกฎหมายธรรมชาตินั้นจึงมีสาระสำคัญว่า คุณจะตรากฎหมายยังไงออกมาแล้วคุณจะเรียกมันว่ากฎหมายไม่ได้ แม้ว่าคุณจะมีอำนาจสูงสุดทางการเมืองอันจะทำให้สามารถตรากฎหมายเพื่อบังคับให้คนในสังคมปฎิบัติตามได้ ผมไม่สนใจ ผมสนเพียงแค่ว่ากฎหมายที่คุณออกนั้นจะต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติด้วยคือกฎของธรรมชาตินั้นเป็นกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์กระทำนั้นย่อมมีสำนึกของความผิดชอบชั่วดีอยู่ในจิตใจของตนเอง และกฎนี้ย่อมเป็นนิรันดร์(จะเห็นว่าแนวคิดพวกนี้โครตจะเป็นแนวคิดแบบนี้เป็นแนวคิดที่โครตจะเป็นนามธรรม ทั้งยังใช้หลักทั่วไปในเรื่องศีลธรรมมาเกี่ยวข้องอีก) สรุปคือกฎหมายที่แท้จริงนั้นต้องเป็นกฎหมายตามกฎของธรรมชาตินั่นสิ ถึงเรียกว่ากฎหมายที่แท้จริง ไม่ได้หมายความว่ากฎหมายคือคำสั่งของผู้ปกครองที่ตรากฎหมายอย่างไรมาก็ถือว่าเป็นกฎหมาย
เราจะเห็นเนื้อแท้ของสำนักกฎหมายทั้งสองว่าหลักๆแล้วเน้นในเรื่องของ "ศีลธรรม" มาเป็นตัวชี้วัดว่ากฎหมายที่แท้จริงนั้นควรเป็นแบบนั้นแบบนี้โดยเอาศีลธรรมมาเป็นตัวจับ แล้วถ้าผมจะตีคุณค่าของกฎหมายโดยไม่เอาเรื่องศีลธรรมมาเป็นตัวชี้วัดละ? สำนักกฎหมายประวัติศาสตร์นั้นมองถึงเรื่องโรมานซ์(ความรู้สึก)เป็นสำคัญกล่าวคือกฎหมายนั้นไม่ได้อยู่ที่ศีลธรรมหรือการตรากฎหมายของผู้ที่มีอำนาจตรากฎหมายมาได้ตามใจชอบแล้วเรียกมันว่ากฎหมาย กฎหมายที่แท้จริงนั้นศาสตราจารย์ von savignyให้แนวว่ามันคือ กำเนิดและเกิดขึ้นโดยประสบการณ์และหลักความประพฤติทั่วไปของประชาชนที่เรียกว่า “จิตสำนึกร่วมของประชาชน” เห็นว่ากฎหมายที่แท้จริงคือการเจียระไนกฎหมายในกระบวนการทางประวัติศาสตร์ แหงละว่าประวัติศาสตร์ของแต่รัฐย่อมไม่เหมือนกัน เมื่อกระบวนการเกิดของกฎหมายนั้นต่างกันเช่นว่า นั่นก็หมายความว่ากฎหมายที่เกิดจากอีกที่หนึ่ง จะไปใช้กับอีกที่หนึ่งไม่ได้ คือไม่มีลักษณะเป็นสากลเหมือนกับแนวคิดกฎหมายธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากประสบการณ์ที่ค่อยๆขยี้แล้วปรากฎคุณค่าของกฎหมายที่แท้จริงอย่างเลี่ยงไม่ได้
ลองพิเคราะห์ประสบการณ์ของนักคิดในสำนักกฎหมายธรรมชาติ
Jean – Jacqnes Rousseau นักคิดตัวเป้งของสำนักนี้ แม้ว่าเขาจะบอกว่าหน่วยอำนาจอธิปไตยนั้นมีลักษณะเป็นองค์ร่วม คือเป็นเอกเทศไม่แยกจากกัน อำนาจที่แท้จริงในการตรากฎหมายคืออำนาจของประชาชนทุกคน ไม่แปลกที่สังคมที่ดีตามทัศนะของรุสโซคือการมีศีลธรรมของประชาชนทุกคนที่มีเจตนารมณ์ที่ดีร่วมกันมาตั้งแต่แรก..........แต่รุสโซนั้นถูกนักคิดที่เห็นต่างหลายคนโจมตีว่ารุสโซนั้นมีลูก 5 คน แต่ไม่เคยเลี้ยงลูกด้วยตัวเองเลยสักคน โดยให้ลูกนั้นไปอยู่ในการดูแลของคนอื่น สุดท้ายแล้วลูกๆของรุสโซไปไม่รอดสักคน ทำให้เห็นว่า ขนาดรุสโซเองยังขาดสำนึกในเรื่องศีลธรรมแล้วเห็นว่า การรวมศูนย์โดยแนวคิดว่าประชาชนทุกคนควรเป็นตัวกำหนดคุณค่าในการตรากฎหมายย่อมเป็นไปได้ยากยิ่งในทางปฎิบัติจริง..
Jean – Jacqnes Rousseau นักคิดตัวเป้งของสำนักนี้ แม้ว่าเขาจะบอกว่าหน่วยอำนาจอธิปไตยนั้นมีลักษณะเป็นองค์ร่วม คือเป็นเอกเทศไม่แยกจากกัน อำนาจที่แท้จริงในการตรากฎหมายคืออำนาจของประชาชนทุกคน ไม่แปลกที่สังคมที่ดีตามทัศนะของรุสโซคือการมีศีลธรรมของประชาชนทุกคนที่มีเจตนารมณ์ที่ดีร่วมกันมาตั้งแต่แรก..........แต่รุสโซนั้นถูกนักคิดที่เห็นต่างหลายคนโจมตีว่ารุสโซนั้นมีลูก 5 คน แต่ไม่เคยเลี้ยงลูกด้วยตัวเองเลยสักคน โดยให้ลูกนั้นไปอยู่ในการดูแลของคนอื่น สุดท้ายแล้วลูกๆของรุสโซไปไม่รอดสักคน ทำให้เห็นว่า ขนาดรุสโซเองยังขาดสำนึกในเรื่องศีลธรรมแล้วเห็นว่า การรวมศูนย์โดยแนวคิดว่าประชาชนทุกคนควรเป็นตัวกำหนดคุณค่าในการตรากฎหมายย่อมเป็นไปได้ยากยิ่งในทางปฎิบัติจริง..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น