วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Everest กับการก้ามข้ามพ้นขีดจำกัดของมนุษย์



หนังสร้างจากเรื่องจริงเล่าไปถึงปี1996 เป็นเหตุการณ์ที่มีนักปีนเขาบนยอดเขาEverest เสียชีวิตเยอะที่สุดคือ15 หรือ 16คนไม่ ผมก็นั่งดูไปเรื่อยๆเพื่อนผมที่ไปด้วยกันมันกระซิบมาถามว่า ตายกันง่ายๆขนาดนี้(เพราะว่าถ้าคนปกติขึ้นไปยอดเขาแล้วแช่อยู่นั่นนาน5นาทีจะหมดสติแล้วตายทันที) ทำไมคนถึงยังไปกันวะ?” คำถามของมันเริ่มตั้งคำถามให้ผมฉุกคิดว่า เออ..แล้วจะไปกันทำไมวะ ค่าใช้จ่ายที่ขึ้นเขาไม่ต่ำกว่า 2ล้านบาท ในระยะเวลา 2เดือนนะคร้าบบ คนที่ไปคือนอกจากรวยแล้วยังต้องบ้าอีกด้วย ยอมรับตรงๆว่าผมคิดงั้นในตอนแรกคือ แม่งบ้า
นั่งดูหนังไปเรื่อยๆคำตอบในหัวผมเริ่มกระจ่าง เมื่อตัวละครตัวหนึ่งได้เปิดประเด็นว่า"พวกคุณมาทำไม"
Beck Weathers หนึ่งในนักปีนเขาที่มีปัญหากับครอบครัว 
Yasuko Namba
นักปีนเขาหญิงชาวญี่ปุ่นผู้ที่อยากจัดว่า Everest เป็นยอดเขาที่ 7 ในยอดเขา 7ทวีปที่เธอพิชิตมาได้
Doug Hansen
บุรุษไปรษณีย์ที่ทำเพื่อเด็กๆ
Scote fischer
นักปีนเขาที่ชอบสร้างสถิติปีนเขาโดยไม่ใช้ออกซิเจน

ทุกคนล้วนมาด้วยเหตุผลที่ต่างกัน แต่มีจุดมุ่งหมายที่เดียวกัน ยอดเขาที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดและอันตรายที่สุด กว่าจะไปถึงข้างบนยอดภูเขานั้นยากมากมายนัก ทั้งคนที่บาดเจ็บ ทั้งคนที่ถอดใจยอมแพ้ในความเขี้ยวรากดินของภูเขา ซึ่งในหนังจะมีพายุหิมะซึ่งแรงมากๆ แม้ว่ามนุษย์จะสามารถพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกนี้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้นะครับ สำหรับผมแล้ว มันคือการชนะใจตัวเองต่างหากละ ผมได้คำตอบที่ผมตามหาแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงต้องทำเช่นนี้

ในหนังเล่าไปว่าเมื่อถึงจุดท้ายๆของเทือกเขาแล้ว จะเป็นช่วงที่อันตรายมากๆซึ่งจุดนี้เรียกว่า”Death zone” คือจุดที่ออกซิเจนในอากาศเหลือเพียง 33%! Doug Hansen นักปีนเขาคนหนึ่งในเรื่องที่มาถึงเขต Deah zone เขาปีนเขามาได้ถึงช้ากว่าคนอื่น ต่อมาเมื่อพวกคณะปีนเขาที่ลงเขาได้มาเห็นเขาในระหว่างทาง ก็กำลังจะพา Doug Hansen กลับลงเขาเพราะว่าถ้าอยู่นานจะยิ่งเป็นอันตราย แต่ทว่า Doug Hansen ได้พูดมาประโยคหนึ่งซึ่งทำให้ผมประทับใจมากๆ
“ It’s out there = มันอยู่ตรงนั้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น