หนังสร้างจากเรื่องจริงเล่าไปถึงปี1996 เป็นเหตุการณ์ที่มีนักปีนเขาบนยอดเขาEverest
เสียชีวิตเยอะที่สุดคือ15 หรือ 16คนไม่ ผมก็นั่งดูไปเรื่อยๆเพื่อนผมที่ไปด้วยกันมันกระซิบมาถามว่า
“ตายกันง่ายๆขนาดนี้(เพราะว่าถ้าคนปกติขึ้นไปยอดเขาแล้วแช่อยู่นั่นนาน5นาทีจะหมดสติแล้วตายทันที) ทำไมคนถึงยังไปกันวะ?” คำถามของมันเริ่มตั้งคำถามให้ผมฉุกคิดว่า
เออ..แล้วจะไปกันทำไมวะ ค่าใช้จ่ายที่ขึ้นเขาไม่ต่ำกว่า 2ล้านบาท ในระยะเวลา 2เดือนนะคร้าบบ คนที่ไปคือนอกจากรวยแล้วยังต้องบ้าอีกด้วย
ยอมรับตรงๆว่าผมคิดงั้นในตอนแรกคือ “แม่งบ้า”
นั่งดูหนังไปเรื่อยๆคำตอบในหัวผมเริ่มกระจ่าง
เมื่อตัวละครตัวหนึ่งได้เปิดประเด็นว่า"พวกคุณมาทำไม"
Beck Weathers หนึ่งในนักปีนเขาที่มีปัญหากับครอบครัว
Yasuko Namba นักปีนเขาหญิงชาวญี่ปุ่นผู้ที่อยากจัดว่า Everest เป็นยอดเขาที่ 7 ในยอดเขา 7ทวีปที่เธอพิชิตมาได้
Doug Hansen บุรุษไปรษณีย์ที่ทำเพื่อเด็กๆ
Scote fischer นักปีนเขาที่ชอบสร้างสถิติปีนเขาโดยไม่ใช้ออกซิเจน
Yasuko Namba นักปีนเขาหญิงชาวญี่ปุ่นผู้ที่อยากจัดว่า Everest เป็นยอดเขาที่ 7 ในยอดเขา 7ทวีปที่เธอพิชิตมาได้
Doug Hansen บุรุษไปรษณีย์ที่ทำเพื่อเด็กๆ
Scote fischer นักปีนเขาที่ชอบสร้างสถิติปีนเขาโดยไม่ใช้ออกซิเจน
ทุกคนล้วนมาด้วยเหตุผลที่ต่างกัน
แต่มีจุดมุ่งหมายที่เดียวกัน ยอดเขาที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดและอันตรายที่สุด
กว่าจะไปถึงข้างบนยอดภูเขานั้นยากมากมายนัก ทั้งคนที่บาดเจ็บ
ทั้งคนที่ถอดใจยอมแพ้ในความเขี้ยวรากดินของภูเขา
ซึ่งในหนังจะมีพายุหิมะซึ่งแรงมากๆ
แม้ว่ามนุษย์จะสามารถพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกนี้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้นะครับ
สำหรับผมแล้ว มันคือการชนะใจตัวเองต่างหากละ
ผมได้คำตอบที่ผมตามหาแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงต้องทำเช่นนี้
ในหนังเล่าไปว่าเมื่อถึงจุดท้ายๆของเทือกเขาแล้ว
จะเป็นช่วงที่อันตรายมากๆซึ่งจุดนี้เรียกว่า”Death zone” คือจุดที่ออกซิเจนในอากาศเหลือเพียง 33%!
Doug Hansen นักปีนเขาคนหนึ่งในเรื่องที่มาถึงเขต
Deah zone เขาปีนเขามาได้ถึงช้ากว่าคนอื่น
ต่อมาเมื่อพวกคณะปีนเขาที่ลงเขาได้มาเห็นเขาในระหว่างทาง ก็กำลังจะพา Doug
Hansen กลับลงเขาเพราะว่าถ้าอยู่นานจะยิ่งเป็นอันตราย
แต่ทว่า Doug Hansen ได้พูดมาประโยคหนึ่งซึ่งทำให้ผมประทับใจมากๆ
“ It’s out there = มันอยู่ตรงนั้น “
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น