อ่านจากกรุ๊ปของอ.ธเนศ แล้วสะกิดใจครับ อิ__อิ
ทำไมแต่ก่อน เขาถึงอ้างถึงบุญและกรรม
เคยอ่านถึง กฎหมายลักษณะผัวเมีย ในบทที่ ๖๗ ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ ภริยาสามีมิชอบเนื้อพึงใจกัน เขาจะหย่ากันไซร้ตามใจเขา เหตุว่าเข้าทั้งสองนั้นสิ้นบุญกันแล้วจะจำใจให้อยู่ด้วยกั้นนั้นมิได้ ”
ถ้าเทียบเคียงแล้ว ทางยุโรปมีกฏหมายลักษณะนี้ ทำนองว่าเป็นเพราะความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า อย่างนั้นหรอกหรือ
มนุษย์นั้นเมื่อตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้เองจึงต้องพึ่งสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่เสมอๆ หรืออย่างเช่นการบูชาไฟ การบูชาพระอาทิตย์ หรือแม้แต่การบูชาโยนี(อวัยวะเพศหญิง) ในสมัยเมโสโปเตเมีย วัฒนธรรม ศีลธรรม หรือในเรื่องศาสนาจึงไม่สามารถหลีกหนีจากชุดความคิดที่ว่า “เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น” โดยมีจุดประสงค์คือเพื่อคุ้มครองตัวเองจากในโลกนี้หรือในโลกหน้า อันเป็นผลมาจากที่ศีลธรรมนั้นมีหลายระดับโดยพิเคราะห์จากระดับของปัจเจกในแต่ละระดับ คนบางระดับนั้นเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นการนิยมไหว้พระในระดับเกจิดังๆ การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การเฉลิมฉลองในพิธีต่างๆเพื่อเป็นสิริมงคลในการกิจการต่างๆ บ้างก็ทำบุญอธิษฐานหากโลกหน้ามีจริง บุญจะส่งผลให้ร่ำรวยเจริญงอกงามในชาตินี้และมีความสุขในชาติหน้า ตายไปได้เกิดในภพภูมิที่ดีฯ และผมก็คงคิดว่ากระบวนการสร้างสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ยังเกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น