ทบทวนหลักกฎหมายหัวข้อการขาดนัดในคดีมโนสาเร่
ครั้งที่แล้วพูดไปถึงเรื่องคำนิยามของคดีมโนสาเร่แล้วตามนัย มาตรา 189 ดังนั้นจึงสำคัญมากในการที่เราต้องแยกให้ออกว่าคดีมโนสาเร่นั้นเป็นอย่างไร คดีแบบไหนเป็นคดีมโนสาเร่หากไม่เป็นคดีมโนสาเร่จึงเป็นคดีแพ่งสามัญซึ่งกระบวนการพิจารณานั้นต่างกัน ตามนัยมาตรา 195 นอกจากที่บัญญัติมาแล้ว ให้นำบทบัญญัติอื่นในประมวลกฎหมายนี้มาใช้บังคับ แก่การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีมโนสาเร่ด้วยโดยอนุโลม ดังนั้นหากเป็นคดีมโนสาเร่จึงต้องดำเนินกระบวนพิจารณาในรูปแบบของคดีมโนสาเร่ แต่คดีมโนสาเร่นั้นอาจนำบทบัญญัติของคดีแพ่งสามัญมาใช้ก็ได้ เช่นในเรื่องของการขาดนัดพิจารณาโดยคดีมโนสาเร่อาจจะยืมมาใช้โดยอนุโลม หากบทบัญญัติใดบัญญัติไว้ในเรื่องของการพิจารณาคดีมโนสาเร่โดยเฉพาะก็ให้นำมาใช้อย่างเคร่งครัด เช่นเรื่องการสืบพยานในมาตรา 193 ตรี จัตวา เบญจ
มาตรา 193 ในคดีมโนสาเร่ ให้ศาลกำหนดวันนัดพิจารณา โดยเร็วและออกหมายเรียกไปยังจำเลย ในหมายนั้นให้จดแจ้ง ประเด็นแห่งคดีและจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาที่เรียกร้อง และ ข้อความว่าให้จำเลยมาศาลเพื่อการไกล่เกลี่ย ให้การ และสืบ พยานในวันเดียวกัน และให้ศาลสั่งให้โจทก์มาศาลในวันนัด พิจารณานั้นด้วย
เราจะทราบว่าในคดีมโนสาเร่นั้น เราจะไม่มีวันนัดสืบพยานเหมือนคดีแพ่งสามัญ แต่จะเรียกว่า “วันนัดพิจารณา” โดยวันนัดพิจารณานี้กฎหมายกำหนดให้มีการทำ 3อย่างคือ ไกล่เกลี่ยคู่ความ จำเลยให้การ และสืบสวน ดังนั้นหากศาลได้ยอมให้จำเลยเลื่อนคดีแล้วผลคือคดีนั้นต้องเลื่อนทั้งหมด คือเลื่อนทั้ง3อย่าง จำเลยจึงไม่มีกรณีที่ขาดนัดยื่นคำให้การ ฎ4156/2543
การขาดนัดยื่นคำให้การ(คดีที่โจทก์และจำเลยมาพร้อมกัน)
ดังนั้นเราจึงต้องพิจารณาไปตามลำดับคือ
1.การไกล่เกลี่ย เมื่อโจทก์จำเลยมาพร้อมกันศาลจะเริ่มการพิจารณาคดีด้วยการไกล่เกลี่ยเพื่อให้คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันเป็นอันดับแรก เพราะคดีมโนสาเร่เป็นคดีเล็กๆน้อยๆการไกล่เกลี่ยโดยศาลย่อมสำเร็จโดยง่าย ถ้าไกล่เกลี่ยได้แล้วศาลจะพิพากษาไปได้ตาม มาตรา 138 ไม่ว่าจะเป็นคดีที่ฟ้องด้วยวาจาหรือหนังสือ
2.การสอบคำให้การจำเลย หากคู่ความไม่สามารถตกลงประนีประนอมยอมความกันได้ตามที่ศาลไกล่เกลี่ยแล้ว กระบวนการพิจารณาจะเข้าสู่ขั้นตอนของการให้การต่อสู้คดีของจำเลย คือถ้าจำเลยประสงค์จะต่อสู้คดีจำเลยจะยื่นคำให้การเป็นหนังสือที่เตรียมมาแล้วต่อศาลในวันนัดพิจารณาก็ได้หรือให้การด้วยวาจาก็ได้ .. แม้โจทก์จะยื่นคำฟ้องเป็นหนังสือ จำเลยจะให้การด้วยวาจาก็ได้
**ข้อสังเกต 1) สำหรับการให้การเป็นหนังสือนั้น จำเลยอาจยื่นก่อนวันนัดพิจารณาได้ ถ้าจำเลยให้การเป็นหนังสือไว้ก่อนวันนัดพิจารณาแล้วจำเลยก็ไม่ตกเป็นผู้ขาดนัดยื่นคำให้การ ถ้าวันนัดพิจารณาจำเลยไม่มาศาล ก็ถือว่าขาดนัดพิจารณาตาม 193ทวิ ว.2
2)คำให้การเป็นหนังสือดังกล่าวไม่ต้องยื่นภายใน 15 วัน นับแต่ได้รับหมายเรียกตาม 177 ว.1 เพราะว่าจำเลยมีสิทธิยื่นคำให้การในวันนัดพิจารณาได้
Ex.ก.ได้รับหมายเรียกวันที่ 1 โดยกำหนดวันนัดพิจารณาวันที่ 20 ก.ยื่นคำให้การในวันที่ 16 ก. ขาดนัดยื่นคำให้การไหม ? แล้วถ้าในวันนัดพิจารณา ก.ไม่มา ดังนี้จะถือว่า ก.ขาดนัดยื่นคำให้การไหม? = no เพราะ ในคดีมโนสาเร่นั้นไม่จำต้องให้การภายใน 15 วัน ตาม 177 อย่างคดีแพ่งสามัญเพราะคดีมโนสาเร่นั้น วันให้การนั้นอยู่วันเดียวกับวันนัดพิจารณาแล้วตาม 193 ดังนั้น ก.จึงยังไม่ผิดนัดยื่นคำให้การ
แต่ถ้า ก.ยื่นคำให้การไปแล้ว แต่ไม่มาในวันนัดพิจารณาดังนี้ถือว่า ก.ขาดนัดพิจารณาต้องดำเนินการตาม 204 205 206 207 ตามมาตรา 193 ทวิว.2 ซึ่งเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างคดีมโนสาเร่แต่ได้นำบทบัญญัติว่าด้วยการขาดนัดพิจารณาของคดีแพ่งสามัญมาใช้ตามนัยมาตรา 195 นั่นเองนะจ้ะ อิๆกำ
3.การสืบพยาน ในวันนัดพิจารณาที่ศาลต้องกำหนดให้มีการสืบพยานในการวันนัดด้วย ถ้าจำเลยให้การต่อสู้คดีซึ่งจำเป็นต้องมีการสืบพยานย่อมจะทำการสืบพยานไปตาม 193 ตรี ได้ทันที เนื่องจากคู่ความต้องเตรียมพยานมาให้พร้อมอยู่แล้ว แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องเลื่อนไปสืบพยานวันอื่น ศาลก็ต้องนัดสืบพยานต่อไปไม่ใช่นัดพิจารณาอีก
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในกรณีที่เมื่อศาลไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ เป็นหน้าที่ของศาลที่จะถามจำเลยว่าให้การหรือไม่(193 ว.3)ถ้าจำเลยให้การ(หนังสือ/วาจา) > ก็พิจารณาโดยสู้คดีตามกระบวนพิจารณาสืบพยานต่อไปตาม 193ตรี จัตวา เบญจ
ถ้าจำเลยไม่ยื่นคำให้การและศาลใช้ดุลพินิจไม่เลื่อนเวลาให้จำเลยยื่นคำให้การผลคือ ให้ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและให้ศาลพิพากษาชี้ขาดโดยใช้มาตรา 198 ทวิ
มาตรา 198 ทวิคือ
1.โจทก์ไม่ต้องยื่นคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนชนะคดีโดยการขาดนัดยื่นคำให้การตาม 198 เช่นคดีแพ่งสามัญ ศาลจึงสามารถใช้ 198 ทวิได้เลย คือหากคดีโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย (198ทวิ ว.1) ถ้าคดีมโนสาเร่นั้นไม่เกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคล สิทธิในครอบครัว หรือสิทธิในกรรมสิทธิ์ ศาลจะจะชี้ขาดตัดสินคดีได้โดยไม่ต้องสืบพยานหรือศาลจะสืบพยานเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์หรือพยานหลักฐานอื่นฝ่ายเดียวตามที่ศาลเห็นสมควรก็ได้(198ทวิ ว.2) ดังนั้นหากคดีไม่เกี่ยวกับ 3ประเภทดังกล่าว เราพิจารณาเพียงแค่ ฟ้องของโจทก์ต้องมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายเท่านั้น ศาลไม่จำต้องสืบพยาน หาก เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับ 3ประเภทก็ต้องสืบพยานด้วย
Or. ถ้าเป็นกรณีที่กำหนดจำนวนเงินตามคำขอของโจทก์และเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนเงินได้แน่นอน = ให้ส่งเอกสารแทนสืบพยาน 198ทวิ ว.3 อนุ ก
Ex.คดีเช็ค
If ถ้าเป็นหนี้เงินที่ไม่อาจกำหนดจำนวนเงินได้แน่นอนก็ต้องให้โจทก์สืบพยาน 198ทวิ ว.3 อนุ ข
Ex.คดีฟ้องละเมิดเรียกค่าสินไหมทดแทน
***แล้วถ้า มันเป็นคดีที่เข้า 3 ประเภทหรือเป็นคดีที่มีคำขอบังคับเป็นหนี้เงินที่ไม่อาจกำหนดจำนวนเงินได้ แต่โจทก์ไม่นำหลักฐานมาสืบ = คดีโจทก์ไม่มีมูล > ศาลต้องยกฟ้องนะจ้ะ
**การสืบพยานต้องเป็นไปตาม 193 ตรี จัตวา เบญจ
การไม่มาศาลในวันนัดพิจารณา= วันนัดพิจารณามีความสำคัญต่อคดีมโนสาเร่มากเพราะในวันดังกล่าวศาลต้องดำเนินกระบวนพิจารณาหลายอย่างให้เสร็จไป อันได้แก่ การไกล่เกลี่ย สืบพยาน ดังนั้นจำเลยจึงต้องมาศาล
ถ้าจำเลยไม่มาศาลในวันนัดพิจารณา โดยผลของการไม่มาศาลในวันนัดนั้น อาจจำแนกได้ 2 กรณีคือ
1.โจทก์ไม่มาศาลโจทก์ต้องมา ถ้าโจทก์ไม่มาถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดี ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารระบบ ม.193ทวิ ว.1 แม้จำเลยจะมาศาลเพื่อขอเลื่อนคดีก็ไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่ามีเหตุที่จะอนุญาตเลื่อนคดีหรือไม่หรือจำเลยมาศาลและขอให้ดำเนินคดีโดยใช้ 202 ไม่ได้ เพราะบทบัญญัติในวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงนำมาตรา 202 มาใช้บังคับโดยถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาหาได้ไม่
2.จำเลยไม่มาศาล จำเลยที่ได้รับหมายเรียกตาม 193 จะต้องมาศาลตามวันที่นัดด้วย ถ้าโจทก์มาศาลแต่จำเลยไม่มาศาลโดยศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี แบ่งออกได้อีก2 กรณี
2.1 จำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การไว้ก่อนหรือในวันนัดพิจารณา ตาม193 ทวิ ให้ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และมาใช้ > 198 ทวิ
มาตรา 198 ทวิคือ
1.โจทก์ไม่ต้องยื่นคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนชนะคดีโดยการขาดนัดยื่นคำให้การตาม 198 เช่นคดีแพ่งสามัญ ศาลจึงสามารถใช้ 198 ทวิได้เลย คือหากคดีโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย (198ทวิ ว.1) ถ้าคดีมโนสาเร่นั้นไม่เกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคล สิทธิในครอบครัว หรือสิทธิในกรรมสิทธิ์ ศาลจะจะชี้ขาดตัดสินคดีได้โดยไม่ต้องสืบพยานหรือศาลจะสืบพยานเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์หรือพยานหลักฐานอื่นฝ่ายเดียวตามที่ศาลเห็นสมควรก็ได้(198ทวิ ว.2) ดังนั้นหากคดีไม่เกี่ยวกับ 3ประเภทดังกล่าว เราพิจารณาเพียงแค่ ฟ้องของโจทก์ต้องมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายเท่านั้น ศาลไม่จำต้องสืบพยาน หาก เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับ 3ประเภทก็ต้องสืบพยานด้วย
Or. ถ้าเป็นกรณีที่กำหนดจำนวนเงินตามคำขอของโจทก์และเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนเงินได้แน่นอน = ให้ส่งเอกสารแทนสืบพยาน 198ทวิ ว.3 อนุ ก
Ex.คดีเช็ค
If ถ้าเป็นหนี้เงินที่ไม่อาจกำหนดจำนวนเงินได้แน่นอนก็ต้องให้โจทก์สืบพยาน 198ทวิ ว.3 อนุ ข
Ex.คดีฟ้องละเมิดเรียกค่าสินไหมทดแทน
***แล้วถ้า มันเป็นคดีที่เข้า 3 ประเภทหรือเป็นคดีที่มีคำขอบังคับเป็นหนี้เงินที่ไม่อาจกำหนดจำนวนเงินได้ แต่โจทก์ไม่นำหลักฐานมาสืบ = คดีโจทก์ไม่มีมูล > ศาลต้องยกฟ้องนะจ้ะ
**การสืบพยานต้องเป็นไปตาม 193 ตรี จัตวา เบญจ
2.1 ถ้าจำเลยยื่นคำให้การไว้ก่อนหรือวันนัดพิจารณา = ถือว่าจำเลยมันยื่นคำให้การแล้วเพียงแต่มันไม่ได้มาในวันนัดพิจารณาไง ดังนั้นเราจะถือว่ามันขาดนัดยื่นคำให้การไม่ได้ กฎหมายจึงบอกว่าให้ถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาแทน และให้บังคับตาม 204-207
2.1.1 ให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้นไปฝ่ายเดียว 204
2.1.2 คล้ายๆกับขาดนัดพิจารณาคือ ให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดให้โจทก์ชนะคดีได้ก็ต่อเมื่อคดีโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย หากเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยฯศาลจะยกขึ้นเองก็ได้ 206 ว.1
2.1.3 คือ 206 ว.2ให้ยืม 198 ทวิ ว.2 ว.3 มาใช้คือ ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้โดยไม่ต้องสืบพยาน หากไม่เป็นคดีสำคัญ 3ประเภท ศาลไม่จำต้องสืบพยานเลย เพียงขอแค่คดีของโจทก์นั้นมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายก็เพียงพอแล้วที่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดคดี ตาม 206 ว.1
+เช่นกัน ในการกำหนดจำนวนเงินตามคำขอของโจทก์ หากเป็นการชำระหนี้จำนวนแน่นอนตาม 198ทวิ ว.3 อนุ1 ก็ให้ส่งเอกสารแทนการสืบพยาน แต่ถ้าเป็นการชำระหนี้ที่ไม่อาจกำหนดได้แน่นอน ตาม198 ทวิ ว.3 อนุ2 ก็ให้โจทก์สืบพยาน
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
*มาตรา 193 ทวิ ไม่ได้บังคับให้โจทก์หรือจำเลยต้องมาศาลในวันนัดพิจารณาด้วยตัวเอง ดังนั้นถ้าผู้รับอำนาจจากโจทก์จำเลย รวมทั้งทนายความของโจทก์หรือจำเลยซึ่งถือว่าเป็นคู่ความตามมาตรา 1(11) มาศาล ย่อมไม่ถือว่าโจทก์หรือจำเลยขาดนัดพิจารณา
*หากวันนัดพิจารณาได้เลื่อนออกไป วันนั้นย่อมไม่ใช่วันนัดพิจารณา แม้โจทก์จำเลยไม่มาก็ไม่ถือว่าขาดนัด
*กรณีที่จำเลยขาดนัดพิจารณาอย่างเดียว จำเลยมีสิทธิขอพิจารณาคดีใหม่ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้ตาม 206 ว.3 ส่วนกรณีที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว จำเลยก็มีสิทธิขอพิจารณาใหม่ได้ตาม 207
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น