วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

หลักกฎหมาย(หนี้): ทรัพย์เฉพาะสิ่ง/การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย

หมายเหตุ*สรุปอันนี้ใช้เป็นหลักที่อธิบายแล้วเข้าใจง่ายๆเนืองจากระยะเวลาที่จำกัดจึงทำให้สรุปอันนี้ค่อนข้างที่จะมีเนื้อหาไม่เยอะเท่าไรเพราะเอามาแต่หลักที่สำคัญๆ ดังนั้นให้อ่านหนังสือประกอบด้วยนะครับ หรือถ้าอ่านหนังสือแล้ว งง ก็กลับมาอ่านสรุปอันนี้ก็ได้ สรุปอันนี้มีเพียงพื้นฐานเบื้องต้น(เพราะน้องเพิ่งเรียนอะกลัวยังไม่รู้เรื่อง)หัวข้อ 1.ทรัพย์เฉพาะสิ่ง 2.การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย

วัตถุแห่งหนี้-สิ่งที่ลูกหนี้จะต้องดำเนินการในการปฎิบัติการชำระหนี้/การชำระหนี้อันเป็นเนื้อหาของหนี้
มี3อย่าง(ไปอ่านเอาในหนังสือนะ)
ดูตัวบทมาตรา 195 ทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้ .ให้เข้าใจว่ามันคือทรัพย์ที่ลูกหนี้มีหน้าที่ที่ต้องส่งมอบแก่เจ้าหนี้นะไม่ต้องสับสนกับตัวบท ต่อมาให้เราเข้าใจคำว่า ทรัพย์เฉพาะสิ่งก่อนนะ
ทรัพย์เฉพาะสิ่งนี่สำคัญนะเพราะว่ามันมีความรับผิดของล/น จ/น แตกต่างกันถ้าเกิดกรณีทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งหนี้ได้พ้นวิสัยไป ยังไงเดี๋ยวบอกอีกทีนะ ทรัพย์เฉพาะสิ่งคือทรัพย์ที่วัตถุแห่งหนี้นั้นได้ระบุไว้ว่าให้ชำระหนี้ด้วยทรัพย์นั้นโดยเฉพาะเจาะจง แล้วทำไงถึงจะเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งละ?
1.ดูมาตรา 195 ว.2นะมีคีย์เวิร์ดไว้อยู่คือ..ถ้าลูกหนี้ได้กระทำการอันตนจะพึงต้องทำ เพื่อส่งมอบทรัพย์สิ่ง นั้นทุกประการแล้วก็ดี หมายความว่าลูกหนี้(คนขาย)ที่ทำทุกขั้นตอนในการชำระหนี้แล้ว เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายที่จะต้องทำ เช่น A ซื้อไม้สักจาก B โดย Aได้ลือกไม้สักเรียบร้อยและBได้จัดการขนไม้ขึ้นรถของAเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่าไม้ได้กลายสภาพเป็นทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งการชำระหนี้(ทรัพย์เฉพาะสิ่ง)เรียบร้อยแล้ว
2.เช่นกัน คำว่า หรือถ้าลูกหนี้ได้เลือกกำหนดทรัพย์ที่จะส่งมอบ แล้วด้วยความยินยอมของเจ้าหนี้ก็ดี หมายความว่าAขายหมูปิ้งอยู่ จากนั้น B มาซื้อ และ B ได้ทำการเลือกหมูปิ้งไม้ที่มีมันหมูติดนิดๆ จากนั้นAก็ใส่ถุงให้ B นั่นแหละทรัพย์เฉพาะสิ่ง
การแยกแยะว่าอันไหนเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง.ให้ดูม.460 ว.2ประกอบนะ จะคล้ายๆกันเลย  นะ..ในการซื้อขายทรัพย์สินเฉพาะสิ่ง ถ้าผู้ขายยังจะต้องนับ ชั่ง ตวง วัดหรือทำการอย่างอื่น หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดอันเกี่ยวแก่ทรัพย์สิน เพื่อให้รู้กำหนดราคาทรัพย์สินนั้นแน่นอน ท่านว่ากรรมสิทธิ์ยังไม่โอน ไปยังผู้ซื้อจนกว่าการหรือสิ่งนั้นได้ทำแล้ว


ผลของการเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง ให้ดู ม.370 คีย์เวิร์ดอยู่ที่คำว่าทรัพย์นั้นสูญหรือ เสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษลูกหนี้มิได้ไซร้ ท่านว่าการสูญหรือเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ หมายความว่าถ้าทรัพย์เฉพาะสิ่งนั้นสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะโทษลูกหนี้ไม่ได้ ความเสียหายตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้(ซวยเลย)ยกตัวอย่างเช่น พี่ไปเดินเซฟวันแวะเข้าร้านเสื้อร้านนึง เสื้อเยอะมาก จากนั้นพี่หยิบเสื้อมาตัวนึงแล้วบอกน้องแตงโมหัวล้านที่เป็นเจ้าของร้านแล้วพูดว่าผมเอาตัวนี้ นั่นหมายความว่าพี่ได้กำหนดตัวทรัพย์โดยเฉพาะเจาะจงแล้วว่าจะเอาเสื้อตัวนี้ส่งผลให้เสื้อตัวนี้เป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งเรียบร้อยแล้ว ต่อมา...ลมพัดแรงมาก เสื้อที่พี่ซื้อไว้หลุดมือไปตกบ่อโคลนตม พี่เลยบอกเจ้าของร้านว่า เสื้อเละหมดแล้วจะเอาตัวใหม่ครับและผมจะไม่จ่ายตัง  ผลคือพี่ไม่สามารถทำได้เพราะความเสียหายนั้นเกิดขึ้นโดยที่จะโทษลูกหนี้(เจ้าของร้านไม่ได้) ความเสียหายจึงตกเป็นพับแก่พี่ หมายความว่าพี่ต้องเอาเสื้อตัวนั้นไปซักและจะต้องจ่ายเงินให้เจ้าของร้าน จะไปมาตอแหลเอาเสื้อตัวใหม่ไม่ได้
*ตรงกันข้ามกันสมมุติพี่เพียงแต่เดินเข้าไปในร้านแล้วพี่ยังไม่ได้ทันทำอะไรเลย ลมพัดเสื้อในร้านตกบ่อโคลนไป พี่ก็เลือกตัวใหม่ได้สบาย เพราะยังไม่เป็นทรัพย์เฉพาะสิง
หมายเหตุ* กรณีดังกล่าวที่ยกมานั้นจะสังเกตว่าลูกหนี้คือเจ้าของร้านจะได้รับเงินค่าเสื้อเพราะว่าความเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้คือผู้ซื้อไปแล้ว มาตรา 370 นั้นใช้เฉพาะหนี้ในสัญญาต่างตอบแทนที่มีวัตถุประสงค์ในการโอนกรรมสิทธิเท่านั้น แต่ถ้าไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการโอนกรรมสิทธิละ ไม่ต้องสงสัยก็ไปบังคับตาม ม.372 นะ ดูตัวบทประกอบ หลักของ ม.372 คือเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการโอนกรรมสิทธิ์ หลักคือดูว่าการสูญหรือเสียหายนั้นเป็นพฤติการณ์ที่โทษลูกหนี้ได้ไหม เช่น ลูกหนี้รับจ้างทาสีบ้านราคาค่าจ้าง 30000 ก่อนจะถึงกำหนดที่ลูกหนี้จะต้องมาทาสีบ้าน 3วัน ไฟไหม้ลุกลามมาจากปากซอยและได้ไหม้บ้านหลังดังกล่าว การชำระหนี้ของลูกหนี้คือการทาสีบ้านก็จะทำไม่ได้ แล้วถามว่าลูกหนี้จะได้รับค่าจ้างในการทาสีไหม คำตอบแบบชาวบ้านๆคือไม่ได้แน่นอนเพราะลูกหนี้ไม่ได้ทำอะไรเลยจะได้เงินค่าจ้างได้อย่างไร แต่เราเป็นนักกฎหมายต้องตอบแบบเท่ๆว่าเพราะเป็นกรณีที่การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยที่จะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ลูกหนี้ไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตอบแทน ม.372 ว.2หมายความง่ายๆว่าลูกหนี้ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างนั่นเอง ***แต่ถ้าการที่ไฟไหม้บ้านนั้นเป็นความผิดของเจ้าของบ้าน(เจ้าหนี้)นั่นหมายความว่าจะเข้ามาตรา372 ว.2ทันทีคือการชำระหนี้(การที่ลูกหนี้ต้องทาสีบ้าน)ตกเป็นพ้นวิสัย(ก็ไม่มีบ้านให้ลูกหนี้ทาสีแล้ว)เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะ โทษเจ้าหนี้ได้ ลูกหนี้ก็หาเสียสิทธิที่จะรับชำระหนี้ตอบแทนไม่ หมายความว่าลูกหนี้แม้จะยังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็มีสิทธิได้รับค่าจ้างอยู่นั่นเอง


อธิบายหลักมาตรา 202(สมัยพี่เรียน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่โง่มากๆ55) กรณีการชำระหนี้มีหลายอย่างและบางอย่างเป็นพ้นวิสัย แยกพิจารณาได้ดังนี้
1.คำในตัวบทเป็นอันพ้นวิสัยจะทำได้มาแต่ต้นก็ดี หมายความว่าการชำระหนี้บางอย่างได้ตกเป็นอันพ้นวิสัยมาแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะทำนิติกรรมแล้ว เช่นนี้การชำระหนี้ส่วนนั้น แม้จะมีการตกลงกันก็ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 150 แล้ว ดังนั้นจึงจำกัดการชำระหนี้อย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัยเท่านั้น
เช่น แดงทราบว่าต้อยมีลูกสุนัข 3ตัวคือ สีดำ สีขาว สีด่าง แดงพบต้อยที่ตลาดจึงตกลงขอซื้อลูกสุนัขตัวหนึ่ง ต้อยตกลงขายให้แดงโดยให้แดงเลือกตัวใดก็ได้ ในขณะนั้นสุนัขตัวสีขาวที่อยู่บ้านได้ตายก่อนแล้ว โดยที่ทั้งสองคนก็ไม่ทราบ เช่นนี้สัญญาส่วนที่ตกมาถึงลูกสุนัขสีขาวจึงเป็นโมฆะ แดงสามารถเลือกได้เพียง 2ตัวที่ยังไม่ตายเท่านั้น
2.คำในตัวบท หรือกลายเป็นพ้นวิสัยในภายหลังก็ดี หมายถึงหลังจากที่ได้ก่อหนี้กัน การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยในภายหลัง แต่ต้องก่อนที่ผู้มีสิทธิเลือกจะใช้สิทธิเลือก เพราะถ้าใช้สิทธิเลือกแล้วจะถือเป็นการชำระหนี้อันกำหนดให้กระทำตั้งแต่ต้นมา(มาตรา199 ว.2 ผลของการเลือก)หมายความว่า เมื่อได้เลือกแล้วทรัพย์นั้นจะเป็นวัตถุแห่งการชำระหนี้มาตั้งแต่ต้น
เช่น A ซื้อสุนัขจาก B โดยBมีสนัข2ตัวคือสีแดงกับสีเขียว A เป็นคนเลือกได้เลือกสุนัขตัวสีเขียว อีก2 เดือนจะมาเอา ดังนั้น A จะเปลี่ยนไปเอาสุนัขตัวสีแดงอีกไม่ได้เพราะเมื่อเลือกแล้วเท่ากับว่ามีการตกลงซื้อขายสุนัขตัวสีเขียวมาตั้งแต่ต้น สมมุติขยายข้อเท็จจริงไปว่า ในระหว่างนั้น สุนัขตัวสีขาวตายเพราะเกิดโรคระบาดแถวๆนั้น(โทษลูกหนี้คือBคนขายไม่ได้) ดังนี้ต้องปรับเข้า 370 คือความเสียหายย่อมตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ ผลคือเจ้าหนี้คือAคนซื้อจะต้องจ่ายเงินค่าสุนัขแก่ B .
ประเด็นต่อมา.Aจะให้Bส่งมอบสุนัขตัวสีแดงที่ยังไม่ตายไม่ได้เพราะ การชำระหนี้ตกเป็นอันพ้นวิสัยโดยโทษลูกหนี้ไม่ได้ ลูกหนี้หลุดพ้นจากการชำระหนี้ ม.219ว 1= Bจึงไม่ต้องส่งมอบสุนัขตัวสีแดงที่ยังไม่ตายให้ A
แต่ถ้าเปลี่ยนข้อเท็จจริงว่า สุนัขตัวสีขาวนั้นตายเพราะความประมาทของ B เอง ก็ปรับเข้า 218ว.1 นะครับคือ B จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับ A
แยกแยะความต่างของมาตรา 202 – 219 ให้ออกนะครับ ต่างกันตรงที่ว่า เลือกหรือยังไม่เลือก


ต่อเลยนะ ก่อนที่ผู้มีสิทธิเลือก(ใครจะเป็นผู้มีสิทธิเลือกจ/น หรือ ล/น แล้วแต่จะตกลงกัน มาตรา199 ว.1)ใช้สิทธิเลือกสามารถแบ่งได้เป็น 2กรณี ดูมาตรา 202 ประกอบนะ
1.กรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยที่ฝ่ายไม่มีสิทธิเลือกไม่ต้องรับผิดชอบ กรณีนี้จะจำกัดเหลือเพียงการชำระหนี้อย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัย ม.202 ตอนแรก
เช่น A ตกลงซื้อสุนัขจาก B ที่มีอยู่ 3ตัวคือ สีแดง สีดำ สีขาว โดยตกลงกันให้ A ฝ่ายผู้ซื้อเป็นคนเลือก ว่าจะเลือกตัวสีไหน ปรากฏว่าก่อนที่ A จะเลือก สุนัขตัวสีขาวถูกรถชนตาย เช่นนี้การชำระหนี้จึงจำกัดเฉพาะลูกสุนัข2ตัวที่เหลือเท่านั้น A จะไปเลือกตัวสีขาวที่ถูกรถขนตายไม่ได้(Bฝ่ายที่ไม่มีสิทธิเลือกไม่ต้องรับผิดชอบคือรถชนตาย โดยไม่ใช่ความผิดB)
2.กรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยที่ฝ่ายไม่มีสิทธิเลือกต้องรับผิดชอบ ผลคือกรณีนี้ฝ่ายที่มีสิทธิเลือกก็ไม่ถูกจำกัดการให้ต้องเลือกในส่วนที่เป็นวิสัยเท่านั้น พูดง่ายๆคือฝ่ายที่มีสิทธิเลือกสามารถเลือกตัวที่ตายได้ตามตัวอย่างข้างต้น ถ้าสุนัขตัวสีขาวนั้นได้ตายเพราะB เจ้าของได้ประมาทเผลอเอายาฆ่าแมลงผสมอาหารให้สุนัขตัวสีขาว ผลคือ Aไม่ถูกจำกัดให้ต้องเลือกส่วนที่เป็นวิสัยตามข้อ1(คือพวกสุนัขที่ยังไม่ตาย) ดังนี้ถ้า A เลือกสุนัขตัวสีขาวซึ่งตายไปแล้ว(พ้นวิสัย) น้องๆไม่ต้อง งง นะ ว่ามันจะเลือกตัวที่ตายทำไมเหตุผลคือ..มันได้ตังค์ เมื่อB ลูกหนี้ไม่สามารถนำสุนัขตัวสีขาวมาชำระหนี้ได้ เป็นกรณีที่การชำระหนี้โดยตรงไม่สามารถบังคับได้เราก็ปรับเข้ามาตรา 218 ว.1 เลย คือ B จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับ A ในกรณีที่ A เลือกสุนัขตัวสีขาวที่ตายไปแล้ว
ข้อสังเกตตามข้อ2 คือ A สามารถเลือกได้2ทางเลยคือ
1.Aมีสิทธิเลือกตัวให้ B ส่งมอบสุนัข 2ตัวที่ยังไม่ตายก็ได้หรือ
2.Aจะเลือกให้ B ส่งมอบสุนัขตัวที่ตายไปแล้วก็ได้โดยนำมาตรา 218 ว.1 มาจับ



เรื่องสั้น:ชายอ้วน

เรื่องสั้น ชายอ้วนผู้เฝ้ามองดูความหลากเลื่อนของศีลธรรมอย่างลุ่มลึก
ห้วงเวลาที่พระอาทิตย์ขยับขึ้นทอแสงมาสุดตา ในส่วนหนึ่งของพื้นที่โลกในห้องกรอบสี่เหลี่ยมแคบๆห้องหนึ่ง ตะวันทอแสงจางๆเข้ามาผ่านช่องหน้าต่างสีเทาเพื่อมาเตือนให้ทราบถึงช่วงเวลาของการเปิดเปลือกตาแล้วเดินเข้าไปสู่ห้วงเวลาของวันใหม่ ข้างๆเตียงยังคงมีเศษเส้นมาม่าตกอยู่บริเวณรอบๆ ตู้เสื้อผ้ามีร่องรอยของการเปิดทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี หยากไหย่ยังคงปะติดปะต่อกับพื้นผนังอย่างไม่สู้ดีนักและเต็มไปด้วยความกังวลใจอย่างถึงที่สุดของชายที่มีรูปร่างอวบอ้วน ผู้มีใบหน้าเต็มไปด้วยสิวเขลอะที่ยังนอนจมกองหนังสือหลังจากที่เขาอ่านหนังสือเตรียมสอบในช่วงดึกของเมื่อคืน สุดท้ายเมื่อเขาทนต่อแสงแดดที่ส่องเข้ามาถึงเรตินาอย่างถึงที่สุดแล้ว เขาก็เผยอตัวขึ้นจากเตียงผ่านกลิ่นปากที่มาจากการหาวสองสามครั้งของเขา สิ่งแรกที่ชายอ้วนคิดขึ้นมาก่อนที่เขาจะไปลุกขึ้นไปทำความสะอาดเศษขี้ฟันที่มาจากการเคี้ยวอาหารมาทั้งวันของเมื่อวานคือหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนานิกายเซน(Zen)ที่เขาได้อ่านเมื่อดึกดื่นที่ผ่านมา  นิกายเซนเป็นนิกายในศาสนาพุทธที่ได้รับการนับถือกันมากในประเทศญี่ปุ่นโดยเน้นถึงการแสวงหาความจริงจากการนั่งสมาธิเป็นหลัก หนึ่งในคำสอนของนิกายเซนคือการนอนหลับ เราจะต้องนอนหลับให้เปรียบเสมือนกับเรานั้นได้ตายไปแล้ว ปล่อยจิต ปลงทุกอย่าง ประมาณว่าใช้ชีวิตเหมือนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ส่วนวันพรุ่งนี้ที่ตื่นมาให้ถือว่าเป็นโบนัส เพราะฉะนั้นจงรับโบนัสนี้แล้วจงใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุดในแต่ละวัน แต่ทว่าชายอ้วนผู้นี้ยังคงปล่อยให้จิตใจหลับสบายเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายซะอย่างดิบดี เพราะช่วงเวลาที่เขาตื่นขึ้นมานั้นเป็นเวลาเกือบๆเที่ยง เขาได้แต่เพียงฝันถึงหน้าของเด็กสาวร่วมห้องที่เขาแอบชอบ คิดถึงใบหน้าอันผอมบางเรียวงามของอาจารย์สอนฟิสิกส์ที่สุดสวยและถือว่าเป็นอาจารย์ที่มีเสน่ห์คนหนึ่งของโรงเรียน ใช่แล้ววันนี้เป็นการขาดเรียนครั้งแรกของชายอ้วนที่ไม่เคยขาดเรียนเลยแม้แต่สักครั้งเดียว โดยภวังค์จิตใจที่ดูบอบบางผิดกับลักษณะทางกายภาพของชายอ้วนผู้นั้น เขาเป็นคนที่อ่อนโยน ไม่ยึดติดกับวัตถุในโลกของทุนนิยมมากนัก ชอบแต่งกายด้วยชุดที่ราบเรียบไม่เป็นจุดสนใจมากนัก อิทธิพลนี้มาจากการที่เขาไม่ค่อยสันทัดกับการผลิตซ้ำมายาคติของสังคมว่าด้วยการเสพสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาภายใต้การครอบงำของวัตถุนิยมสักเท่าไรนัก เขาชอบมองโลกในแง่ดี รวมถึงยังชอบค้นหาสิ่งต่างๆที่คนส่วนมากเขาไม่ขวานขวายอยากรู้ เขาเป็นคนชื่นชอบนักปรัชญาในสมัยคลาสสิก หรือในสมัยหลังยุคเฟื่องฟูศิลปวิทยา(Renaissance)  เขาสนใจศึกษาเกี่ยวกับมานุษยวิทยาเป็นงานอดิเรกอย่างยิ่ง เมื่อเรามองดูภาพรวมกว้างๆแล้วเขาก็ไม่ต่างจากชายอ้วนผู้คงแก่เรียนใส่แว่นหนาเตอะ ที่เตรียมสอบเข้ามหาลัยดังๆในปีหน้านี้แล้ว เขาเป็นเฉกเช่นปุถุชนคนทั่วๆไปที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสังคมกลมๆแห่งนี้เหมือนกับทุกคน แต่คงไม่มีใครรู้หรอกว่าไม่มีอะไรที่ยั่งยืนพรั่นพรึงเท่ากับการที่เราไม่รู้ถึงจิตใจที่คว้านลึกอยู่ข้างในของตัวมันเอง ในใจลึกๆแล้วเขากำลังสับสนกับความคิดหลายๆอย่างของเขา
ชายอ้วนผู้มีสำนึกของการเป็นนักอ่านตัวยง ไม่ครุ่นคิดอะไรต่อไปอีก หลังจากที่เขาตื่นสายจนไปเรียนไม่ทัน พลันนั้นไม่เป็นเรื่องแปลกอะไรเลยหากเขามีเจตจำนงที่จะหยิบหนังสือขึ้นสักเล่มขึ้นมาอ่านเพื่อให้สำนึกในตัวเองกระชุ่มกระชวยไปด้วยโลกของหนังสือที่มีแต่เขาเท่านั้นที่มีความสุขอยู่ในวังวันของสมาธิ การอ่านทำให้เขาลุ่มหลงอยู่ในโลกของเขาเองเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นชายที่ไม่เคยมีความรักจากหญิงสาวคนใดมานับตั้งแต่เขาอยู่ชั้นประถม เขายังจำจูบแรกของเขาได้เสมอ เด็กหญิงผู้ที่เป็นรักแรกของเขานั้นอยู่บ้านข้างๆเขานั่นเอง ความใกล้ชิดกันทำให้เกิดความรักแบบเด็กๆจนได้ หลังจากนั้นมานับตั้งแต่บัดนี้ เขาไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนจริงจังเลยสักครั้ง หากให้เขาเลือกระหว่างหนังสือและผู้หญิง เขาไม่ลังเลที่จะเลือกหนังสือเลย เขารักการอ่านมากและไม่คิดว่าความรักนั้นจะมีเฉพาะความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น โลกนี้ไม่สามารถขาดความรักได้และความรักถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการใช้ชีวิตของมนุษย์ เราอาจะกล่าวเชิงเปรียบเทียบได้ว่าความเค็มของน้ำทะเลยังคงอัตลักษณ์ของตัวเองไว้อย่างทะนงตัว เฉกเช่นมนุษย์ที่ไม่สามารถขาดความรักได้ แม้ว่าเราจะผิดหวังกับมันสักแค่ไหน แต่เราก็ยังชอบความรักอยู่ดีและไม่สามารถปฎิเสธได้ว่าเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่มีความรัก ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ความรักยังเกิดขึ้นกับเราเสมอในทุกๆเช้าที่เราตื่นขึ้นมา
ปกติแล้วเขาไม่ชอบอ่านหนังสือในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆของของตัวเองมากนัก นั่นอาจเพราะเขาไม่สามารถที่จะพรรณาถึงการเสพเนื้อหาภายในหนังสือที่เกิดจากห้องแคบๆได้เท่าไรนัก หลังจากเขาอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย จุดมุ่งหมายของเขาคือห้องสมุดของมหาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของเขานัก มหาลัยดังกล่าวนั้นเปิดให้บุคคลทั่วๆไปสามารถเข้ามานั่งอ่านหนังสือได้ ชายอ้วนผู้นั้นจึงชอบบรรยากาศความเงียบ รวมทั้งแอร์เย็นๆดุจนั่งอยู่ที่สายธารของแม่น้ำที่เต็มไปด้วยความเย็นของธรรมชาติ ห้องสมุดดังกล่าวจึงเป็นสถานที่ประจำของเขาในวันหยุด เขาก็มักที่จะมาทำงานหรือมาอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแห่งนี้เป็นประจำอย่างไม่ต้องสงสัย เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาจากกระเป๋าสะพายสีดำวับที่พ่อเขาซื้อให้เมื่อปีที่หลังจากผลการเรียนเป็นที่น่าพอใจและจากการที่เขาไปประกวดกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อเพศและศิลปะร่วมสมัย นั่นถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำสำหรับเขาทีเดียว
เขามุ่งที่เรียนต่อคณะอักษรศาสตร์ภาควิชาปรัชญาของมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ทำให้เขาไม่ลังเลที่จะเลือกอ่านหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาของโลกตะวันตกที่เขาชื่นชอบ ระหว่างอ่านหนังสือ ชายอ้วนอารมณ์เสียพลางกับคิดในใจว่าหลายๆคนคงไม่คิดว่าตอนที่เราอยู่อนุบาลเราทุกคนต้องอ่านหนังสือร่วมกัน อ่านออกเสียงดังๆพร้อมกัน แต่คงไม่มีใครออกเสียงดังในห้องสมุดอย่างแน่นอนเพราะเขาคงต้อนรับคุณอย่างไม่อบอุ่นเป็นแน่แท้ นั่นเป็นเพราะว่าโต๊ะข้างๆเขาพูดเสียงดังรบกวนเขามากๆทั้งๆที่โดยปกติแล้วห้องสมุดแห่งนี้มักจะไม่ค่อยมีการกระทำที่ไร้มารยาทเช่นนี้บ่อยครั้งนัก บางครั้งเขาก็จะมองถึงภาวะที่คนเห็นแก่ตัวนี้ดำรงอยู่เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับสังคมสมัยนี้เขาคงทำได้แค่หลีกลี้หนีไปให้ห่างๆเท่านั้น บ่อยครั้งที่เขาเหลือบมองไปที่สันหนังสือแคบๆที่ชั้นปรัชญาแล้วเจอหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาของศาสนาพุทธ เขาลองหยิบมันขึ้นมาอ่านแล้วครุ่นคิดต่อไป ถ้าจะว่ากันด้วยเรื่องศาสนา ชายอ้วนผู้นี้เป็นพวก irreligion หรือเป็นภาวะที่ไม่มีศาสนา ถึงชายคนนี้จะไม่มีศาสนาแต่เขาไม่เป็นปรปักษ์กับศาสนาใดทั้งสิ้นเพราะเขามองว่าทุกศาสนานั้นล้วนแต่มีเหตุผลของการดำรงอยู่ทั้งสิ้น กล่าวคือในเรื่องของศาสนานั้นเกิดจากกระบวนการสร้างทางประวัติศาสตร์มันไม่ได้เกิดโดยความบังเอิญอย่างแนวทางวิทยาศาสตร์ในบางเรื่อง ที่สำคัญทุกศาสนาล้วนสร้างให้มนุษย์ทุกคนดี เราอาจกล่าวได้ว่าศาสนานั้นเป็นหนึ่งในโซ่ตรวนที่ใช้คอนโทรลสังคมในแกนหลักคือบรรทัดฐานของสังคม นั่นนับเป็นเหตุผลที่ดีทีเดียวของการดำรงอยู่ของศาสนา ชายอ้วนนั้นได้รับปรัชญาของนิทเช่ นักปรัชญาชาวเยอรมันในศตวรรษที่ 19 ไปเต็มๆ จากการที่เขาสงสัยในความจริง สงสัยในความเป็นไปของโลก หากมีคนบอกโลกหมุน แล้วใครกันเล่าที่เป็นคนหมุน? ตอนนี้ชายอ้วนกำลังใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ในการวิเคราะห์ ตกผลึกจากการอ่านหนังสือปรัชญากองโตของเขาเอง เขากำลังต่อสู้ถึงความคิดของเขา การเริ่มสงสัยในการเป็นไปของสังคม เขาเริ่มกระสันที่จะค้นหามันแล้ว ในการที่เขาได้ซึมซับศาสนาพุทธมาตั้งแต่วัยเยาว์จากครอบครัวเขา โดยครอบครัวของชายอ้วนนั้นเป็นพุทธศาสนิกชนโดยเนื้อแท้ โดยทำหน้าที่เป็นพุทธศาสนิกชนไม่ขาด ไปปฏิบัติธรรมทุกๆวันสำคัญ ทำบุญตักบาตรทุกเช้า เขาจึงขอใช้เวลาครุ่นคิดในเรื่องความเป็นไปในการขับเคลื่อนสังคมโดยใช้กรอบของศาสนาพุธที่เขารู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีมาเป็นแกนคิด ในระหว่างที่เขาไม่ได้ไปโรงเรียนและใช้เวลานั่งบนเก้าอี้อันอ่อนนุ่มละมุนละไมภายในห้องสมุด


จากแนวคิดเรื่องการเหน็บแหนมทางศีลธรรมของประเทศไทยโดยเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านคือญี่ปุ่นนั้นกล่าวว่าประเทศไทยนั้นมีการจำกัดกรอบในการดำรงชีวิตของปัจเจกในสังคมโดยมีการควบคุมในด้านต่างๆเช่น ระบบของการเซนเซอร์ การจำกัดอายุของผู้ชมหนังระดับเรท  โดยการควบคุมนั้นค่อนข้างกว้างขวาง ซึ่งลองมาเปรียบเทียบกับของประเทศญี่ปุ่นนั้น โดยประเทศญี่ปุ่นมีการนำเสนอภาพรวมทางด้านเพศเปิดเสรีมากๆ อนึ่งที่เอาเรื่องเพศมาเกี่ยวข้องด้วยนั้นเหตุผลคือเพศกับศีลธรรมนั้นเป็นของคู่กัน เหมือนกับโลกคู่ขนาน โดยปัญหาเรื่องเพศนั้นมักจะแสดงออกด้วยการกระทำผิดศีลธรรมด้วยเสมอๆเช่น การเกิดคดีข่มขืน การค้าประเวณี มักจะเป็นคำถามอยู่เสมอว่าประเทศไทยนั้นจำกัดเรื่องศีลธรรมอย่างมากมาย แต่ญี่ปุ่นนั้นเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเปิดกว้างดูจากการที่มีระบบหนังAv(หนังผู้ใหญ่) โดยที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่การเกิดอาชญากรรมทางเพศของประเทศไทยกลับมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ผิดกับประเทศญี่ปุ่น การปฏิรูปสื่อให้ปลอดภัยจากเนื้อหาที่สะท้อนค่านิยมทางเพศที่ไม่ถูกต้องหรือฉากข่มขืนภายในสื่อรูปแบบต่างๆนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีเท่าที่ควรเป็น ชายอ้วนครุ่นคิดอย่างตื่นตระหนกถึงเรื่องศีลธรรมในสังคมไทย
หลังจากที่ชายอ้วนนั่งจิบกาแฟผสมผสานกับมองไปนอกหน้าต่าง จ้องมองต้นไม้ที่อยู่ข้างๆที่เขาอ่าน ใบไม้ของต้นฉำฉาต้นใหญ่พัดตามสายลมอย่างเป็นมิตร เมื่อเหม่อมองดูแล้วสัมผัสถึงความสงบ ชายอ้วนผ่อนคลายอิริยาบทแล้วจับหน้าผากตัวเองพลางคิดว่า เรานั้นอยู่ในโลกของป่าคอนกรีตเป็นป่าของการแย่งชิงเศษกระดาษ ป่าที่ผู้คนต่างบรรจงประณีตที่จะแกะสลักเปลือกหน้าอันจอมปลอมเพื่อเอาไว้แสร้งใส่กันเช่นนั้นหรือ ชายอ้วนไม่แปลกใจที่ผู้คนส่วนมากหลงใหลกับกิเลสอันโสมมจนไม่สามารถแยกแยะถึงความเป็นมนุษย์ได้ถึงเพียงนี้ กระแสธาราความคิดก็จับเจ่าอยู่กับเรื่องศีลธรรมอันเป็นกระบวนการขับเคลื่อนในสังคม ภายในประเทศไทยที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ประเทศไทยของเรานั้นล้วนมีกระบวนการสร้างชาติในหลายๆกรอบแนวคิดในการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ การปลูกฝังศีลธรรมลงไปในนั้นก็เป็นหนึ่งในกระบวนการพัฒนาศีลธรรมของประเทศไทยอย่างแยกกันไม่ออก การปลูกฝังศีลธรรมนั้นแสดงออกมาในรูปของการศึกษา โดยในระดับชั้นประถมมีการศึกษาวิชาวิชาศาสนา สังคมและวัฒนธรรมมาตั้งแต่ต้น หากจะพูดง่ายๆคือศีล 5 นั้นเราสามารถท่องได้เสียกระทั่งตอนอยู่ชั้นประถมเลยก็ว่าได้
หากจะกล่าวถึงวัฒนธรรมของสังคมไทยในการคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมหรือความเชื่ออันเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงกระทำ ชายอ้วนเผยอปากแล้วเตือนว่าคุณอย่าลืมนะครับว่ามนุษย์ในสมัยยุคกลาง ค.ศ.ที่5-15 ซึ่งอยู่ในยุคที่มนุษย์นั้นมีความคับแคบทางความคิด มนุษย์ไม่สามารถที่จะโงหัวทางความคิดได้เนื่องเพราะสมัยนั้นเริ่มจากยุคของการไร้ผู้นำมาปกครอง มนุษย์ทำอะไรไม่เป็น ศาสนาจึงมีความสัมพันธ์ในลักษณะที่โอบอุ้มหรือเข้ามาครอบงำสังคมในด้านต่างๆ เราจึงสามารถมองได้ว่า มนุษย์นั้นเมื่อตัวเองไม่สามารถที่จะมีความสามารถทำอะไรได้จึงต้องพึ่งสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่เสมอๆ หรืออย่างเช่นการบูชาไฟ การบูชาพระอาทิตย์ หรือแม้แต่การบูชาโยนี(อวัยวะเพศหญิง) ในสมัยเมโสโปเตเมีย วัฒนธรรม ศีลธรรม หรือในเรื่องศาสนาจึงไม่สามารถหลีกหนีจากชุดความคิดที่ว่า เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นโดยมีจุดประสงค์คือเพื่อคุ้มครองตัวเองจากในโลกนี้หรือในโลกหน้า อันเป็นผลมาจากที่ศีลธรรมนั้นมีหลายระดับโดยพิเคราะห์จากระดับของปัจเจกในแต่ละระดับ คนบางระดับนั้นเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นการนิยมไหว้พระในระดับเกจิดังๆ การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การเฉลิมฉลองในพิธีต่างเพื่อเป็นสิริมงคลในการกิจการต่างๆ บ้างก็ทำบุญอธิษฐานหากโลกหน้ามีจริง บุญจะส่งผลให้ร่ำรวยเจริญงอกงามในชาตินี้และมีความสุขในชาติหน้า ตายไปได้เกิดในภพภูมิที่ดี ชายอ้วนถึงกับนั่งทำหน้างงๆแล้วบรรจงเอามือขวาข้างที่ตนถนัดก่ายหน้าผากอย่างงุนงวยอีกครั้ง พลางย้ำคิดย้ำถามกับตัวเองว่า สิ่งเหล่านี้คือศีลธรรม อย่างนั้นหรือ แต่ถึงกระนั้น นั่นก็เป็นการทำความดีมิใช่หรอกหรือ ซึ่งนั่นก็คือMorality หรือศีลธรรมมิใช่หรือ ศีลธรรมนั้นคือสิ่งที่ดีงามที่แสดงออกมาทั้งภายนอกผ่านการกระทำทางกายภาพหรือความดีงามที่อยู่ในจิตใจของตนเองการมีศีลในจิตใจของตนทำให้เกิดสำนึกในการเป็นคนดีเป็นที่ยอมรับของตนเองหรือผู้อื่น โดยมีแกนกลางคือคือบุญ อันก่อให้เกิดแรงดึงดูดที่ทำให้เกิดสังคมที่สงบสุขได้ภายใต้สามัญสำนึกที่ดีงามของคนในสังคม ศีลธรรมแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีแล้วอย่างนั้นหรือ




ชายอ้วนครุ่นคิดต่อไปพลางเคี้ยวขนมกรุบกริบเหตุคือเขานั่งคิดในเรื่องนี้จนกระทั่งลืมเวลาไปเสียเลย เขาเหลือบไปเห็นบรรณารักษ์ของห้องสมุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่เคาน์เตอร์ใกล้ๆกับที่เขานั่งอยู่ บรรณารักษ์คนนั้นเป็นผู้หญิงวัยกลางคน ดูลักษณะท่าทางแล้วค่อนข้างมีนิสัยจู้จี้ ขี้บ่น และจริงจังเกินไป จนทำให้ชายอ้วนคนนั้นนึกถึงเมื่อเขาเป็นเด็ก เขาได้ไปเยี่ยมคุณป้าที่อยู่ต่างจังหวัด คุณป้ามีนิสัยค่อนข้างเจ้าระเบียบและหัวโบราณขัดกับนิสัยของเด็กวัย6ขวบอย่างเขามากโข มีช่วงนึงที่เขาปั่นจักรยานเล่นแถวๆนั้นจนกลับเมื่อหลังจากตะวันตกดินแล้วสักพัก นั่นทำให้เขาถูกคุณป้าดุจนร้องไห้งอแง ชายอ้วนเห็นบรรณารักษ์คนนั้นจึงจิตนาการว่าคงไม่ต่างจากคุณป้าจอมโหดของเขาสักเท่าไรนัก เขาไม่ต้องตัดสินใจอะไรให้มากนักเมื่อเห็นหน้าตาของบรรณารักษ์ที่อยากจะกลับบ้านเต็มแก่ในบริบทของพนักงานหาเช้ากินค่ำอย่างที่ทราบๆกัน ชายอ้วนจึงย่างเท้าออกไปจากห้องสมุดพร้อมกับตะวันพลาพลับหลังดิ่งจมลงนภาได้ไม่นาน บรรยากาศชวนสลัวขุ่นมัวในช่วงเย็นของมหาลัยแห่งนี้คราค่ำไปด้วยแสงสีเทาครึ้มต้อนรับพระจันทร์คราราตรีที่กำลังเดินทางผลัดยามทำหน้าที่แทนพระอาทิตย์  ที่พักของเขาอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยนัก ระหว่างทางที่เขาย่างเท้าเดินกลับบ้านนั้น เขาได้แวะไปซื้อข้าวกล่องไปนั่งกินระหว่างอ่านหนังสือแนวปรัชญาของเขาต่อ อันที่จริงแล้วที่แล้วเขาจะไม่ค่อยทานข้าวเย็นเสียเป็นส่วนมาก แต่เขามักจะออกมาซื้อของระบายลงท้องอันอ่อนนุ่มของเขาในช่วงดึกๆในตอนอ่านหนังสือที่กำลังถึงจุดไคล์แม็ก แต่วันนี้เป็นวันที่เขาใช้ความคิดมาตลอดทั้งวันเขาจึงเลือกที่จะทานข้าวเย็นเพื่อให้ท้องของเขาอิ่มเอมไปด้วยรสชาติเผ็ดร้อนของอาหาร ทำให้เกิดความแผ่ซ่านไปทุกอณูในการจรดขอบตาอันดำคล้ำของเขาอันจะทำให้เขาได้เสพรสชาติของตัวอักษรในหนังสือเล่มโปรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเขากลับมาถึงบ้านจวนเจียนจะเอนเอียงเพราะความอ่อนล้าทั้งตัว ชายอ้วนชอบใฝ่หาความรู้อยู่แทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ การฟัง หรือแม้แต่การเขียน ทักษะต่างๆทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอๆ เขาถ่อมตนในความรู้ของเขามาก โดยเขาเปรียบว่าความรู้ของเขาแม้ตัวเขาเองจะคิดว่ารู้เยอะมากเท่าไร แต่ในความเป็นจริงแล้วความรู้นั้นอาจเป็นเศษละอองน้ำในทะเลกว้างเสียก็ได้ เขาจึงค้นคว้าหาความรู้อย่างไม่มีคำว่าพอ สำหรับในยุคนี้การค้นหาความรู้นั้นทำได้ไม่อยาก เราสามารถสูบบุหรี่พร้อมกับการนั่งจิบกาแฟกดสมาร์ทโฟนเพื่อต้องการเสพความรู้ได้ในทันทีทันใด  หลังจากชายอ้วนทานข้าวเย็นเสร็จแล้ว เราก็งีบไปสักพักที่ฟูกนอนอันอ่อนนุ่ม อย่างทันทีทันใด

เขาสะดุ้งตื่นมาพร้อมกับเสียงปลุกเพลงTake me home ของ John denver ในเวลา 4ทุ่มอันเป็นเวลาอ่านหนังสือของเขา เขานั่งใคร่ครวญถึงความคิดเมื่อตอนกลางวันของเขา หากศีลธรรมนั้นคือสิ่งดีงามที่อยู่ภายในจิตใจผ่านการแสดงออกมาภายนอก ชายอ้วนคุ้นชินกับการวิเคราะห์อย่างพร่ำพรึงถึงความน่ากลัวในความดี เขาคิดว่าหากความดีกับศีลธรรมมันเป็นคนละเรื่องกันละ จะเป็นศีลธรรมได้หรือไม่ หากเราลองแยกความดีออกจากศีลธรรม ตัวอย่างง่ายๆจากหนังสือปรัชญาของอิมมานูเอล คานต์ นักปรัชญาสายโรแมนติค-นิยมที่เขาเพิ่งอ่านเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เช่น มีดเล่มนี้ดีก็ไม่ได้แปลว่ามีดเล่มนี้มีศีลธรรม แต่มีดใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกระทำของคนเราบางอย่างเช่น พ่อค้าซื่อสัตย์เพื่อต้องการให้ลูกค้าเชื่อถือ กิจการของตนจะได้มั่นคงแบบนี้ก็คือการทำดีในความหมายว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพอันมีผลจะทำให้กิจการของพ่อค้ามั่นคง มันก็คือการลงทุนแบบหนึ่ง ไม่ใช่ความดีทางศีลธรรมแต่อย่างใดเลย ความดีทางศีลธรรมนั้นสามารถอธิบายได้จากตัวอย่างข้างต้น ถ้าพ่อค้ารักษาความซื่อสัตย์ ก็คือว่าความซื่อสัตย์รักษาคุณค่าในตัวมันเอง และเป็นหน้าที่ที่ต้องรักษาความสื่อสัตย์โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ อย่างนี้ถือว่าเป็นความดีทางศีลธรรม ความดีไม่ใช่เครื่องมือไปสู่สิ่งอื่น ถ้าคุณทำดีเพื่อไปสวรรค์ เพื่อให้ได้สิ่งต่างๆที่คุณต้องการ ความดีที่คุณนิยามก็ไม่ต่างอะไรจากเครื่องมือ เช่นเงิน เราใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แต่ความดีทางศีลธรรมไม่ใช่เครื่องมือ เราทำความดีเพื่อความดี ไม่ใช่เพื่อนำไปสู่สิ่งอื่น ความดีมีคุณค่าในตัวมันเองอยู่แล้ว ชายอ้วนคงคิดต่อไปว่า หรือศีลธรรมนั้นเป็นเพียงการตีความ มันไม่จริง ไม่มีจริง หรือไม่ได้ถูกต้องไปกว่าระบบอื่นๆแต่พวกเรากลับถูกครอบงำให้ตกอยู่ภายใต้ระบบศีลธรรม อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่ชายอ้วนตะหนักถึงก็คือเราไม่ควรจะไปยึดติดในการค้นหาความจริงอย่างเคร่งครัดเกินไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหมุนเวียนอยู่ในโลกของมันเองเมื่อเวลาผ่านไป ความจริงทุกอย่างก็มักมีคำตอบใหม่ๆมาให้เราเสมอ อาจกล่าวได้ว่าไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์ใดๆมากำหนดให้มนุษย์เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งนอกจากตัวคนนั้นเลือกที่จะเป็นแบบนั้นเอง ชายอ้วนลุกขึ้นมากวาดเศษขยะแล้วยังคงอ่านหนังสือต่อไปอย่างเงียบๆ





เรื่องสั้น:ธเนศ

เรื่องสั้น  ธเนศ

หลังจากละครหลังข่าวจบ ในช่วงเวลาที่ห้วงอากาศเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทนาน ดาวที่แวววับประกายเด่นจ้าในช่วงหัวค่ำเริ่มหลบถอยไปตามกาลเวลาที่หมุนไปอย่างช้าๆ แต่ระหว่างที่เขาดูละครหลังข่าวจบไปอย่างเพลินหูเพลินตา ทำให้ช่วงเวลาหมุนอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาที่ติดละครจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันคิดว่าการหมุนของเวลาทำไมมันเร็วนัก ในเวลาที่ละครกำลังฉาย หากแต่เวลานั้นหมุนช้าๆในช่วงที่เขานั่งบื้อ อดรนทนรอเพื่อให้ข่าวค่ำจบไปไวๆเพื่อดูละคร เขาเป็นผู้ชายที่เฉยชาในโลกของความเป็นจริงเสมอๆเขาชอบนั่งจับเจ่าอยู่ที่ละครทีวีหลังข่าวเป็นประจำทุกวัน ทั้งยังชอบอ่านนิยายพาฝันเป็นประจำๆ เขาหลบหนีจากโลกของความเป็นจริงอย่างนั้นหรือ อันที่จริงแล้วเขาอาจจะมีปมด้อยในโลกของความเป็นจริงที่ขื่นขมก็เป็นได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย พ่อของเขาเป็นถึงศาสตราจารย์ประจำคณะหนึ่งในมหาลัยภาครัฐที่โด่งดังในประเทศ ทั้งยังเขียนหนังสือทางวิชาการเป็นประจำๆ ส่วนแม่ของเขานั้นวุ่นกับการทำตัวเป็นแม่ตัวอย่างที่ดีด้วยการออกหน้าออกตาทางสังคมยกยอปอปั้นลูกชายต่างๆนาๆประหนึ่งว่าลูกชายของเธอนั้นเป็นมนุษย์ที่มาจากยูโทเปียก็ไม่ปาน จึงไม่แปลกนักที่แม่ของเขาจะเป็นนายกสมาคมแม่บ้านดีเด่นของประเทศ กระนั้นก็ตาม เขาก็ยังเบื่อในความที่ไม่ว่าพ่อหรือแม่ของเขานั้นยัดเยียดในสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้ซะอย่างนั้น เขาไม่ต้องการชีวิตในแบบเดิมๆของเขาเขาต้องปฏิวัติตัวเอง เขาต้องการสิ่งใหม่ๆเข้ามาในชีวิตเพื่อใช้ชีวิตที่หวือหวาและสดใสมากกว่าการที่เขาถูกพ่อเข็นให้อ่านหนังสือทุกวันหลังจากกลับจากโรงเรียน การที่ถูกบังคับให้ไปเรียนพิเศษในสถาบันสอนพิเศษที่มีชื่อในจังหวัด เขามักจะเบื่อหน่ายจากการที่เพื่อนในที่เรียนพิเศษปั้นหน้าใส่กัน รวมถึงการโชว์ของแบรนด์เนมที่เขามองแล้ว มันคือของเล่นที่เขาผ่านตามาแล้วทั้งนั้นในวัยเด็ก เขาเบื่อในสิ่งเหล่านี้คล้ายกับว่ามันกำลังระเบิดความรำคาญในใจเขา  ชีวิตของเขานั้นถูกปอปั้นมาจากสิ่งที่พ่อแม่โยนมาให้ด้วยความปรารถนาดีในความคิดของพ่อแม่ แต่เป็นสิ่งที่ร้ายกาจในความคิดของเขา แม้แต่ชื่อของเขายังถูกตั้งตามชื่อพ่อและแม่ที่นำมาผสมผสานเข้ากันจนได้ชื่อว่า ธเนศ  
ธเนศเป็นชายหนุ่มวัยกระเตาะเรียนอยู่ช่วงชั้นมัธยมต้นที่หน้าตาดีพอสมควร ผมของเขาสีดำขลับปลิวไสวรับกับสายลมที่พัดผ่านมา รูปร่างของเขาดูกระฉับกระเฉง จมูกดูสันเป็นทรงเข้ารูป มีดวงตาที่แหลมคมผสมกับขอบตาที่คล้ำหมองจากการที่นอนดูละครดึก เขาสวมชุดไฮสกูลดูเข้ารูปอย่างพอเหมาะพอควร ธเนศเดินทางมาโรงเรียนด้วยปอเช่คันสีแดงแสบตาที่เขาเลือกมารถสปอร์ตหรูคันโปรดของเขา 5 คันจากในโรงรถ ธเนศไม่เป็นกังวลในเรื่องของกฎหมายในการที่เขาอายุไม่ถึงในการขับรถยนต์ส่วนบุคคล เพียงแค่เขาเผยอหน้าไปหาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เขาคนนั้นก็ส่งสายตาให้ธเนศแล้วก็ปล่อยไปอย่างเฉียบไว เป็นที่แน่นอนว่าอิทธิพลของตระกูลธเนศนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เขารู้สึกว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เบื่อและง่ายดายเสียยิ่งกว่านอนไขว่ห้างแล้วกินโคล่าสุดโปรดของเขาในระหว่างที่ดูละครเสียอีก เขาเผาหัวก่อนเข้าเรียนด้วยการเดินเข้าร้านสะดวกซื้อหน้าโรงเรียนแล้วหยิบเบียร์มากระแทกปากหยามป้าย ห้ามขายเบียร์ให้เด็กอายุต่ำกว่า20ปี อย่างหน้าตาเฉย ในการที่เขาควักแบงค์สีเทาๆให้กับพนักงานขายและกระซิบเบาๆว่า ไม่ต้องทอน มันทำให้เขาตะหนักรู้ถึงความไร้ค่าของเศษกระดาษอย่างเฉยเมย เขาจิบเบียร์ครั้งที่สามในชีวิต จะว่าไปธเนศกินเบียร์ครั้งแรกในตอนที่ละครที่เขาดูในตอนจบ แล้วตอนจบของละครไม่สมหวังอย่างที่เขาคิดไว้ ช่วงนั้นเขาไม่สบายใจมากรวมถึงความกระวนกระวายใจ จนมาหยุดที่ชั้นล่างในตู้เย็นของพ่อบ้าน เขาเห็นเบียร์อยู่ในนั้นสองขวด เขาลองลิ้มรสมัน แต่มันดูไม่อร่อยเลย มันขมมากเขาพะอืดพะผมในท้อง แต่นั่นกลับทำให้ความกระวนกระวายใจของเขาหายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือประสบการณ์ที่ธเนศได้ดื่มด่ำกับรสชาติเครื่องดื่มมึนเมาเป็นครั้งแรก ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ดูง่ายดายไปเสียหมด ในเรื่องการเรียนของธเนศ เขาแทบจะไม่ต้องขวานขวยอะไรเลย เขานั่งเรียนเพียงเศษหนึ่งส่วนสามของคาบเรียน หลังจากนั้นเขาก็นั่งเหม่อลอยถึงละครที่เขารอดูในตอนค่ำ แต่เขาก็ได้เกรดเฉลี่ยในรายวิชานั้นๆในระดับท็อปเสมอๆ ในเมื่อเขาเป็นแบบนี้ เขาคิดว่าจะปฏิวัติตัวเองได้อย่างนั้นหรือ 

หากธเนศต้องการจะปฏิวัติตัวเองจากความง่ายดายในการดำเนินชีวิตในสังคมที่มุ่งต้องการแต่กระดาษสีเทาๆอย่างแท้จริง เขาคิดเล่นๆว่าเขาคงต้องเป็นขอทานแล้วลองลำบากเหมือนคนอื่นๆดูบ้าง แต่นั่นเป็นเพียงความคิดที่สุดโต่งเกินไป ในเมื่อเขาเป็นขอทานแล้วรอคนเอาเศษเหรียญมาให้แลกกับการทำหน้าอ่อนโยนไปด้วยความน่าสงสารแบบจอมปลอมที่หวังแต่เพียงเศษเหรียญเพื่อมาประทังชีวิต มันก็คงดูน่าเบื่อไม่ต่างกันจากโลกที่เขาเป็นอยู่ เพียงแต่สลับกันจากรวยหรือจนเท่านั้น คำสองคำนี้ไม่อาจเป็นตัวชี้วัดถึงอนาคตที่ธเนศต้องการได้

บ่ายวันหนึ่งมีแขกของพ่อเขามาหาที่บ้าน บ้านของธเนศเป็นบ้านแนววินเทจในแบบที่พ่อของเขาโปรดปรานมากที่สุดเป็นบ้านแนวย้อนยุคหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่นอกชานเมืองมาหน่อย ดูๆแล้วยังหลีกหนีไม่พ้นถึงกลิ่นอายของบ้านที่เป็นกึ่งราชวังผสมเข้ากับคฤหาสน์ไปในตัว ชายหนุ่มที่มาหาพ่อของธเนศนั้นเขาเป็นชายแก่ที่ดูแล้วค่อนข้างมีไลฟ์สไตล์วัยรุ่นไม่จาง ชายแก่แต่งตัวแนวๆวัยรุ่นประหนึ่งว่าเขาเพิ่งผ่านพ้นช่วงวัยที่เขาเตะปี๊ปดังได้มาหมาดๆทั้งๆที่เขาอายุแทบจะ60 ปี อยู่แล้ว แต่พ่อของธเนศยังไม่มา ชายแก่ขยับขาที่อ่อนแรงลงนั่งที่โต๊ะรับแขก ธเนศนั่งอ่านหนังสือวิชาฟิสิกส์ซึ่งเป็นวิชาโปรดของเขาอยู่ที่ห้องอ่านหนังสือที่ประกอบไปด้วยชุดเครื่องเขียนครบชุด รวมถึงหนังสือที่ธเนศซื้อมาอ่านเพื่อเก็บไว้ ไม่ผิดนักถ้าเรามองว่าเป็นห้องสมุดขนาดย่อมๆ คล้ายกับห้องแลปที่ตกแต่งไปในบรรยากาศที่ขมุกขมัวไปด้วยความคุ้นชินกับเศษซากของความรู้ที่เบ่งบาน ธเนศมองชายแก่คนนั้นแล้วครุ่นคิดว่าจะเข้าไปทักทายดีไหม เขารู้สึกอยากรู้จักกับชายแก่คนนี้เสียยิ่งกว่าผู้หญิงที่น่ารักที่สุดในโรงเรียนที่เขาโปรดปรานเสียอีก แต่กระนั้นเขาก็หยุดชะงักงัน เมื่อเขาเห็นหัวข้อในหนังสือที่เขาอ่าน พลางกับเพ่งสายตามองที่หัวข้อหนึ่งของหนังสือเล่มนั้น ใช่แล้วนี่คือหัวข้อที่เขาทำคะแนนตอนสอบได้น้อยที่สุดในช่วงกลางเทอม เขาจะต้องอ่านและทำความเข้าใจกับมันก่อนเสีย จะไปสนใจกับสิ่งอื่นซิ ในระหว่างที่ธเนศกำลังอ่านหนังสือในหัวข้อที่สำคัญอยู่นั้น พ่อบ้านวัยกลางคน หนวดเฟิ้มพอเป็นรูปทรงไม่ถึงกับรุงรังเท่าไรนัก พ่อบ้านคนนี้เป็นพ่อบ้านที่รับใช้ตระกูลของธเนศมาหลายๆรุ่นแล้ว เขาเดินเสิร์ฟน้ำมาให้กับชายแก่พร้อมกับชี้ชวนบอกให้ชายแก่ผู้มาเยี่ยมเยียนแวะชมรูปภาพ Starry Night Over The Rhone ของแวนโก๊ะไปพลางๆ


ธเนศยังคงนั่งอ่านหนังสือต่อไปเรื่อยๆโดยที่เขาไม่ทราบเลยว่าชีวิตของเขากำลังจะเกิดเรื่องที่ยุ่งยากและไม่เป็นไปตามที่เขาประสบพบเจออีกต่อไป หลังจากนั้นอีกไม่นานพ่อแม่ของเขาเดินลงจากบนบ้าน พวกเขาค่อยๆก้าวลงมาช้าๆผ่านบันไดหินอ่อนที่แกะสลักเป็นลวดลายสัญลักษณ์อิยิปต์โบราณในสมัยของกษัตริย์ตุตันตามุน พ่อแม่ของเขายิ้มทักทายชายแก่ที่นั่งรอที่ห้องรับแขกอย่างอบอุ่น ชายแก่หยิบซิการ์ยี่ห้อ Cohiba ที่เป็นยี่ห้อโปรดของฟิเดล คาสโตร นักปฏิวัติชาวคิวบาที่อยู่ในกระเป๋าบอดี้สูทข้างซ้ายแล้ว แล้วบรรจงจุดไฟซิการ์แล้วลิ้มรสความหอมหวานของควันอย่างละเมียดละไม เมื่อควันของซิการ์ดับลง เขาค่อยๆหยิบของที่อยู่ในกระเป๋า ธเนศจ้องมองเขาอยู่หลังจากละสายตาจากหนังสือ เปรี้ยง เปรี้ยงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ธเนศสะดุ้งตกใจอยู่ไม่ถูก เขางงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภาพที่เขาเห็นคือ พ่อแม่ของเขานอนทรุดจมกับกองเลือดสีแดงซ่าน เขาแผดเสียงร้องอย่างสุดเสียงที่ลำคอเล็กๆของเขาจะสามารถเปล่งมันออกมาได้ เขาภาวนาว่ามันคือฝันร้าย เขาต้องตื่นจากความฝันซะทีซิ มันไม่จริงใช่ไหมแต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือความจริง พ่อแม่ของเขาจากไปแล้วจากไปโดยที่ไม่มีวันกลับมา ถึงที่สุดแล้วชายแก่คนนั้นนั่งชันเข่าแล้วมองหน้าธเนศ ชายแก่ยิ้มให้ธเนศจากนั้นเขาก็จากไป ธเนศยังทำอะไรไม่ถูก เขาไม่พบชายแก่คนนั้นอีกเลย แต่แปลกว่าทำไมเขาไม่รู้สึกโกรธชายแก่คนนั้นเลยหรือนี่จะเป็นบัญชาจากสวรรค์ที่ทำให้เขาไม่ต้องใช้ชีวิตโดยที่ถูกพ่อแม่บงการแล้วดำเนินชีวิตแทนเขาแล้วกระนั้นหรือ นี่คือสิ่งที่ง่ายดายที่สุดในเวลานี้ ทรัพย์สมบัติมากมายล้นเหลือตกสู่ทายาทเพียงคนเดียวนั่นก็คือเขา พ่อแม่เขาจากไปแล้ว ต่อจากนี้เขาต้องอยู่ด้วยตัวคนเดียวแล้ว ธเนศไม่เคยเห็นเลือดตรงๆขนาดนี้เลย เขาเกลียดเลือด เกลียดสีแดงเพราะเขาคิดเอาว่าสีแดงคือเลือด เลือดมีนัยยะของความสูญเสีย เขาเกลียดความสูญเสีย แม้กระทั่งของใช้ราคาแพงที่เขาใช้จนเบื่อแล้วเขาก็ยังไม่เอาทิ้ง เพียงนำมากองไว้ระเกะระกะในห้องเก็บของเท่านั้น ถึงอย่างนั้นร่างของพ่อแม่ของเขาที่หมดลมหัวใจ ยังคงหลอกหลอนธเนศอยู่ตลอดเวลา

ความเฉื่อยชา

สวัสดี วันนี้ผมอยู่ที่บ้านไม่ได้ออกไปไหน(ซึ่งปกติแล้วต้องออกไปโม้ที่มหาลัย) อยู่คนเดียวก็คิดอะไรไปมาอยู่เรื่อย ซักพักนึงผมเริ่มเบื่อ. ..
เลยอยากหาอะไรทำ แต่ก็ไม่มีอะไรนอกจากอ่านหนังสือ
/ ผมเลยนั่ง "นิ่งๆ" คิดไปคิดมาคำว่า "นิ่ง" มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่เลยผมเลยลองคิดอะไรที่มันเกี่ยวกับสิ่งที่ "นิ่งๆ"
*__* :นิ่งสิ่งแรกที่นึกถึงคือ "ZEN" : นิกายเซนเป็นนิกายในศาสนาพุทธนับถือกันมากที่ประเทศญี่ปุ่น หนึ่งในคำสอนของนิกายเซนคือการ"นอนหลับ" เราจะต้องนอนหลับให้เปรียบเสมือนตายแล้ว ปล่อยจิต ปลงทุกอย่างประมาณว่าใช้ชีวิตเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ส่วนวัน "พรุ่งนี้" ที่ตื่นมาถือว่าเป็นโบนัสจงรับโบนัสนี้โดยใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด
Y_Y :นิ่งที่สองผมนึกถึง " ดอกไม้ " : บางครั้งความบังเอิญมักจะสามารถสร้างปาฎิหารย์ที่แสนวิเศษ ดั่งเช่น อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง
ผู้คิดค้นยาเพนนิซิลิน(ยาปฎิชีวนะ) เมื่อเฟลมมิ่งได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านในวันหยุดโดยทิ้งจานเพาะเชื้อกองโตไว้ที่บ้าน พอกลับมาเขาจึงได้พบถึงการแบ่งตัวของบางอย่าง ก่อนที่จะกลายการค้นพบที่สำคัญ
..คุณเคยขับรถในเวลาที่เร่งรีบเพราะว่าต้องขับรถไปเรียน ไปทำงานโดยที่มองแต่จุดมุ่งหมายของตัวเองอย่างเดียวเลยใช่ไหมครับ
อย่าเพิ่งลืมสิ่งสำคัญบางอย่างไป??
/ปกติสำหรับผมคนที่ใช้ชีวิตแบบท้องถิ่นนิยม (Localism)บางครั้งก็อาจจะเร่งรีบบ้าง บางครั้งอาจจะเฉื่อยชาบ้างเพราะผมบังเอิญมองวิวข้างทางที่มีดอกไม้หลากสีสัน บางทีชีวิตผมอาจจะเร่งรีบจนไม่มีเวลามองดอกไม้ข้างๆทาง ถึงแม้จะมองมันก็เห็นไม่ชัด เพราะมันผ่านไปเร็วมาก
"แต่ทุกครั้งที่ผมหยุดนิ่งแล้วมองดอกไม้พวกนั้นภาพแห่งความทรงจำที่สัมผัสได้เฉพาะความรู้สึกของผมคนเดียว หัวใจของผมคนเดียว มันเป็นดอกไม้ที่แสนวิเศษที่สุดดอกนึงเลยทีเดียว"
คุณๆก็อย่าลืมหยุดพักนิ่งๆเพื่อชมดอกไม้ข้างทางบ้างนะครับ

ถึงเพื่อน..เมื่องานเลี้ยงเลิกลา

2-3วันนี้เกิดอาการ"ไม่ค่อยชิน"
-ต้องอ่านหนังสือเรียนทุกวัน
-บ่อยครั้งที่ตอนเย็นต้องออกไปมหาลัยเพื่อไปคุยโม้กับเพื่อนพร้อมกับการซื้อขนมผิงและข้าวกล่องหน้ามหาลัยเข้าไปกิน
-หรือกับการที่เห็นเจ้าพ่อm150 อย่างพี่"สอง ฟิตเนส" ที่ชอบบ่นหลังสอบเสร็จว่าติดFแน่กู ทั้งๆที่เกรดออกมามันมักจะได้B up
-ปกติแล้วจะเรียกเพื่อนที่ชื่อ"โบ้" ว่า
"โบว์" เป็นประจำ
-ครั้งที่ไปมหาลัยมักจะแอบฟังเพื่อนคนนึงที่มันชอบคุยโทรศัพท์ (พอเราไปถึงมันกลับบอกว่าอ่านหนังสือแล้ว ซะงั้น)
-คิดถึงรสชาติของมะม่วงน้ำปลาหวานที่ซื้อไปกินเป็นประจำ
-เพื่อนคนนึงมันชอบพูดคำว่า"ป๋องแป๋ง"เป็นประจำ
-มีคนนึงที่เพื่อนมักจะเรียกมันว่า"ตำรวจ"ว่ากันว่ามันเป็นเซียนพระ ทุกวันนี้ยังติดบุหรี่มันอยู่เลย
-หรือจะเพื่อนคนนึงที่พอเวลาเมาแล้วชอบ"เปิดตูด" หรือ "โชว์ขอบชีท"
-เพื่อนคนนึงที่ว่ากันว่าขับรถเก่งมากๆ ทั้งยังกินเหล้าเก่งอีกด้วยมีตำนานเล่ามาว่าไอ้นี่กินเหล้าเที่ยงวันยันเที่ยงคืนก็อยู่ได้
-มีเพื่อนคนนึงที่บ้านขายบะหมี่เหลือง"ตองเก้า"ที่มักจะโดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำอาทิ เช่น เจอถ่ายรูปตอนนอนเป็นคนเก็บขยะ,เจอถอดหัวนกกระจอกรถมอไซค์ออกทำให้สตาร์ทไม่ติด ว่ากันว่าครั้งนั้นมันโมโหมาก,ล่าสุดเจอแอบถ่ายในขณะนอนกรนฯ
-มีเพื่อนคนนึงที่มักจะมีคำพูดคล้ายๆว่าตัวพี่เขาเป็นพระเอกซีรีย์เกาหลีเช่นคำว่า"กูเจ็บ แต่เพื่อนกูไม่เจ็บก็พอ" ซึ่งผมอยากจะอ้วกใส่หน้ามันจริงๆ
-มีเพื่อนคนนึงที่เขาเรียกมันว่า"หัวโล้น" ตำนานเล่ากันว่าไอ้นี่เป็นพวกชอบแกล้งคนระดับปรมาจารย์ แถมยังชอบจับไก่ชนไปทำมิดีมิร้ายในยามวิกาลอยู่บ่อยๆ
-มีเพื่อนคนนึงที่มักจะมาชวนตีHonในช่วงสอบเป็นประจำ
-สุดท้ายมีเพื่อนคนนึงที่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้รวดเร็วประดุจนั่งขี่"เมฆสีทอง"ได้จริงๆมันยอดมาก

เรื่องของผม

จุดยืนในไลฟ์สไตล์ผมค่อนข้างชัดเจน ผมมี IDOL เป็นนักกฎหมาย นักมานุษยวิทยา รวมไปถึงนักปรัชญาในสมัยกรีกหรือจะเป็นนักคิดในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา(Renaissance) หลายๆคนก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าผมกำลังอวดโอ้ในความรู้ของตัวเองที่มีเพียงเท่าหางอึ่ง ผมกำลังหมายความว่าผมก็เหมือนกับคนอื่นๆที่มีบุคคลต้นแบบ ผมเป็นเฉกเช่นปุถุชนคนทั่วๆไปที่กำลังแหวกว่ายในสังคมทรงกลมๆที่เรียกว่า " โลก "
ผมชอบเขียนบทความเวลาว่างๆ โดยส่วนมากจะโพสลงใน Fb ซึ่งมาจากการเขียนลงในกระดาษแบบถนอมสายตาลองผิดลองถูกมานับครั้งไม่ถ้วน โดยเนื้อหาแล้วจะเน้นเรื่องของความฝัน ของหวัง และกำลังใจ ในคำพูดที่สวยหรูของผม ผมมักจะเน้นย้ำให้คนที่อ่านซึ่งโดยมากจะเป็นรุ่นน้องๆที่เรียนอยู่ด้วยกัน ซึ่งผมจะพยายามทำให้เขาดูเป็นตัวอย่างและผมสามารถทำสิ่งนั้นได้จริงๆ ดังนั้นคำพูดมากมายที่ผมเขียนมันขึ้นมามันจะไม่มีความหมายเลยหากไร้ซึ่งการ"ปฎิบัติ"
ในวันที่ท้องฟ้าสีหม่น เราอยู่ในโลกของป่าคอนกรีตและป่าแห่งการแย่งชิงเศษกระดาษ เป็นป่าที่ผู้คนต่างบรรจงประณีตที่จะสลักเปลือกหน้าอันจอมปลอมเพื่อเอาไว้เสแสร้งใส่กันเช่นนั้นหรือ .. ผู้คนส่วนมากที่พ่ายแพ้จากป่าแห่งนี้โดยมากแล้วมักจะมองโลกเป็น"สีดำ" คำพูดของผมอาจจะติดตลกหากคนผู้นั้นอาจจะเจอ"สี"อื่นๆ สีที่ว่านี้คือประสบการณ์ที่คนผู้นั้นได้รับมาตลอดชีวิต แล้วถ้าคนผู้นั้นยังเลือกที่มองโลกเป็นสีดำต่อไป โดยไม่ได้มองสีอื่นๆที่ได้สาดเข้ามาใส่เขาเลย แล้วภาพความฝันที่ยังรอการแต่งเติมอยู่ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเล่า?
ผมเองก็มีความฝันของผม พวกคุณด้วยเช่นกัน ผมคงจะต้องพยายามอีกเยอะสำหรับความฝันของผม หากวันใดวันหนึ่งคุณท้อแท้ เหนื่อยกับเรื่องต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต วันนั้นโลกทั้งใบของคุณอาจไม่เป็นเช่นที่คุณวาดฝันไว้ ผมอยากให้คุณส่องกระจก ใช่ เห็นหรือเปล่าว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวเพียงลำพัง คุณลองส่องกระจกแล้วยิ้มซิ คนในกระจกจะต้องยิ้มกลับมาแน่นอน ความหวังและกำลังใจของคุณไม่ได้หายไปไหนเลย เพียงแต่มันยังคงโอบอุ้มหัวใจของคุณที่กำลังห่อเหี่ยวเอาไว้ไม่ห่าง ผมเชื่อว่าคุณก็ต้องหลงรักมันอย่างแน่นอน

ความรักกับรถไฟ

ความรักของรถไฟบนท้องฟ้าของผม

..ลองคิดเล่นๆหากความรักเป็นเช่นก๊าซต่างๆ สามารถลอยเคว้งอยู่บนอากาศได้ เราคงอยากส่งความรักให้กันตรงๆ เหมือนเติมก๊าซจากท่อเข้าสู่ตัวถัง ถึงกระนั้นหากมีสถานีบริการความรักที่ไหนซักแห่งคงจะดีไม่น้อย อีโมติคอน smile
สำหรับผมคงมี"ความรัก"อย่างหนึ่งที่ลอยอยู่บนอากาศได้เช่นกันเพียงแต่มันถูกคั่นด้วยรางเท่านั้น สิ่งนั้นคือ"รถไฟ" ผมนึกถึงเมื่อครั้งที่ผมไปเข้าวัดปฎิบัติธรรมแห่งหนึ่งซึ่งวัดนั้นจะมีสถานีรถไฟอยู่ใกล้ๆกัน ผมเฝ้ามองรถไฟอยู่เสมอๆเพราะเสียงมันดังกังวาลมากจนทุกคนต้องหันมองมันเป็นเสียงเดียวกัน รถไฟจึงดูน่ารักที่สุดในเวลานี้
..หากเปรียบรถไฟเป็นคนสองคน ส่วนทางรถไฟคือเวลา รถไฟสองขบวนเดินทางออกจากชานชะลาเดียวกัน โดยรถไฟขบวนหนึ่งวิ่งในความเร็วเท่ากับเข็มยาวของนาฬิกาและรถไฟอีกขบวนหนึ่งวิ่งในความเร็วเท่ากับเข็มวินาทีของนาฬิกา หากแม้นเรามอง"ความรัก"เป็นนาฬิกาเรือนหนึ่ง จะต้องมีครั้นที่รถไฟสองขบวนนั้นจะต้องวนกลับมาหากันได้แน่นอน แม้การถีบตัวของเข็มยาวจะเนิ่นช้า แต่ในที่สุดแล้วเข็มวินาทีที่หมุนอย่างเร่งรีบก็จะโอนอ่อนตัวเองผ่านเข้ามาหาเข็มยาวบ้าง
แต่ถ้ารถไฟทั้งสองขบวนมุ่งที่จะสร้างเส้นทางของตนเองโดยลืมชานชะลาที่ตัวเองจากมา หากวันใดวันหนึ่งรางรถไฟได้มีทางแยกขึ้นมา รถไฟทั้งสองต่างหมุนเวียนอยู่ในทางแยก เมื่อนั้นรถไฟทั้งสองจะไม่มีวันได้บรรจบกันอีกเลย

วันเกิดปีที่21

ของขวัญที่ร่วงหล่นมา21ปีของท้องฟ้า
สวัสดี ผมเขียนเรียงความชิ้นนี้ให้กับตัวเองครับ เนื่องในวันที่14ที่ผ่านมาเป็นวันคล้ายวันเกิดปีที่21ของผมเอง  ช่วงเวลาที่ทำผมเคลิ้ม ปนเบื่อคือช่วงเวลาปิดเทอมใหญ่ที่นานแสนนาน5เดือนมักจะเป็นเส้นขนานสำหรับวันคล้ายวันเกิดของผมเพราะผมเกิดเดือนมิถุนาฯมันเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในระหว่างเวลาปิดเทอมใหญ่ในทุกๆปีการศึกษาผมเลยไม่มีโอกาสที่จะได้รับการเซอร์ไพส์อะไรจากคนอื่นเลย ว้าแย่จัง ไม่เป็นไรน่านี่แหละของขวัญของผมที่จะให้ตัวเองถ้าไม่มีเพื่อนๆหรือพี่ๆน้องๆที่ผมรู้จัก ของขวัญชิ้นนี้จะไม่มีโอกาสได้ลืมตาขึ้นมาเลย
21ปีที่ผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้าบ่อยๆเคล้าอารมณ์กับเสียงเพลงบวกกับเครื่องดื่มมึนเมาเป็นบางครั้งแล้วแต่บรรยกาศตอนนั้น โดยปกติแล้วการมองท้องฟ้าเนี้ยมันมักจะมีนัยยะแอบแฝงต่างๆมากมาย บางคนเสียใจร้องไห้เสร็จแล้ว เช็ดน้ำตา ทำหน้าแดงสะอึกสะอื้นแล้วก็มองท้องฟ้า บางคนออกไปทำงานก็มองดูท้องฟ้าว่าสายหรือยัง บางคนลัคกี้มากๆในชีวิตวันนี้ก็มองบนท้องฟ้าแล้วก็พูดคนเดียวว่า"วันนี้เป็นวันของเรา" ซะงั้น ผมเนี้ยเป็นบ่อยเลยพอท่องประมวล(มาตรากฎหมาย)แล้วจำไม่ได้ซักทีก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อจะตั้งสมาธิในการท่องจำให้ติดสมองให้ได้ ยังไงก็ต้องออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่ผู้ชายที่มองโลกสวยงามเสมอไปนะ(แต่ผมเป็นผู้ชายประเภทโลกสวยด้วยมือเรา..ล้อเล่น อิอิอิ)
เมื่อผมได้แหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าเนี้ย ผมจะจินตนาการถึงสิ่งที่ผมต้องการที่จะเป็นในโลกข้างบนนั้น เมื่อผมจินตนาการอยากได้อะไร โลกข้างบนของผมก็มักที่จะทำให้ความต้องการของผมสมหวังเสมอ ใช่โลกข้างบนมันมีอยู่จริง แต่โชคชะตามักจะโหดร้ายกับเราเสมอ เราไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกข้างบนเป็นเพื่อนกับน้องกระต่ายที่อยู่บนดวงจันทร์ได้หรอกนะ แต่อย่างน้อยๆเมื่อเรากลับมาใช้ชีวิตในโลกข้างล่างของเราโดยสามารถมีโลกจินตนาการข้างบนเป็นเงาตามตัวได้เสมอ ทุกๆย่างก้าวของการใช้ชีวิตอยู่ที่"ทัศนคติ"ของเราล้วนๆ...
ทัศนคติทั้งสองด้าน ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง ยังไงเราก็ต้องอยู่กับมันอยู่แล้วไม่ว่าจะ สุข-ทุกข์ ดีใจ-เสียใจ ผิดหวัง-สมหวัง รวย-จน อกหัก-รักที่สุดหรือไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ ทุกสิ่งมี2ด้านในตัวของมันเองเสมอมา มันก็เหมือนเหรียญ เมื่อเราโยนขึ้นไปเราไม่มีทางรู้หรอกว่าจะออกหัวหรือก้อย หากเรามัวกังวลไป มันก็คงช่วยอะไรไม่ได้ จะให้เหรียญพลิกไปด้านที่เราต้องการหรือย้อนกลับไปที่เดิมก็ไม่ได้เพราะเราไม่มีไทม์แมชชีนเหมือนโดเรมอน
...ไม่ว่าเหรียญจะอยู่ด้านไหน ผมก็อยู่กับมันอย่างซื่อสัตย์มาตลอด21ปีแล้ว ผมขอบคุณ"เหรียญชีวิต"ของผมเหรียญนี้ที่ทำให้ชีวิตผมเพลิดเพลินสนุกสนาน คลุกเคล้าความสุขหรือความทุกข์กับมันในทุกๆเช้าที่ตื่นขึ้นมาและผมหวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกๆคนเพลิดเพลินกับเหรียญของตัวเองด้วยนะครับ

นิติธรรม?

ข้ออ้างในการหยุดแสวงหาเหตุผลในสรรพสิ่งด้วยตัวของตัวเอง เป็นการมักง่ายทางสติปัญญาอย่างถึงที่สุด
--
 ข้ออ้างดังกล่าวนั้นคืออะไร เราสามารถเรียนรู้ได้ด้วยใจตนเพียงเท่านั้น หากลองพินิจพิจารณาถึงประเด็นในเรื่องความชอบธรรม(legitimacy) โดยมีหลักนิติธรรม(rule of law)มาเป็นแกนในการวิเคราะห์ ex.นาย A ขโมยถุงข้าวแกงเพื่อนำมาให้มารดาที่ป่วยและหิวโดย ถ้าพิจารณาเพียงแค่ความถูกต้องตามตัวบทกฎหมายโดยไม่ได้นำความชอบธรรมมาพิจารณาประกอบด้วย นาย A จะผิดแน่นอน แต่นักกฎหมายนั้นการใช้กฎหมายไม่เฉพาะแต่การใช้ตามตัวบทกฎหมายเท่านั้น หากแต่ยังต้องพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายด้วยเช่นกันนั่นหมายความว่าจะต้องดูที่เหตุผลหรือความมุ่งหมายในการที่จะบัญญัติกฎหมายนั้นๆขึ้นมาด้วย เพราะกฎหมายนั้นเป็นเพียงหนึ่งในบรรทัดฐานของสังคม(social norms) ทั้งนี้เพื่อดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขของประชาชน เราอาจสรุปได้ว่า โดยหลักแล้วการใช้กฎหมายนั้นจะต้องใช้ตามบทกฎหมาย(ประเทศเราใช้กฎหมายในระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรก็คือต้องยึดตามประมวลกฎหมายเป็นหลัก) ไม่เพียงเท่านั้น เราจำต้องดูที่เจตนารมณ์ของกฎหมายดังที่กล่าวมาแล้วเช่นกัน ...
--
บริบทของสังคมนั้นสำคัญไฉนต่อความชอบธรรมหรือการใช้เหตุผล ในยุคจักพรรดิ์จิ๋นซี(ที่สร้างกำแพงเมืองจีน) ผู้คนต่างๆนั้นเชื่อในคำสอนและปรัชญาของขงจื้อ จุดร่วมที่เหมือนกันกับเรื่องของความชอบธรรมในสังคมนั้นก็คือ ปรัชญาของขงจื้อนั้นจะเน้นในเรื่องการนำคุณธรรมมาตัดสินปัญหาด้วย โดยอาจจะขัดกับตัวบทกฎหมายด้วยเช่นกัน ในยุคที่ประเทศจีนแตกเป็นก๊กเป็นเหล่า .... คือต้องเข้าใจก่อนนะว่าประเทศจีนไม่ได้รวมกันเป็นกลุ่มๆ แต่ว่ารวมกันเป็นก๊ก ดังนั้นการที่รัฐจะควบคุมผู้คนนั้นจะทำให้เกิดความยากลำบาก แบบนี้ก็แย่ซี้ครับ เพราะพื้นฐานของการปกครองของประเทศจีนนั้นจะต้องทำโดยการยึดการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการที่จะไม่โอนอ่อนต่อสิ่งที่ผิดกฎหมาย(rule by law)โดยไม่แม้แต่จะคำนึงถึงเรื่องความชอบในแง่ของศีลธรรมเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่มีความชอบธรรมในกฎหมายที่ตราขึ้นมาใช้เองทั้งสิ้น จิ๋นซีฮ่องเต้จึงสั่งประหารหมู่นักวิชาการขงจื้อ การเผาตำราขงจื้อ ฝังนักวิชาการทั้งเป็น ... อนิจจา จิ๋นซีฮ่องเต้นั้นกลัวความตายมากพยายามหายาอายุวัฒนะแต่สุดท้ายก็สิ้นพระชนม์ลงพร้อมกับการล่มสลายของรางวงศ์ฉินและการปกครองโดยขาดความชอบธรรม (legitimacy) และธรรมอำนาจ (moral authority)ในกาลต่อมา

หลักกฎหมาย:ร้องขัดทรัพย์

หลักสำคัญอันนึงของการร้องขัดทรัพย์

    " ต้องมีการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ฯ  ออกขายทอดตลาด "
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 676/2546
การที่โจทก์ทั้งสามขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อนำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ได้มาแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยตามส่วนมิใช่เป็นการร้องขอให้บังคับคดีตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หากแต่เป็นการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการแบ่งทรัพย์สินระหว่างผู้มีสิทธิร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1364 วรรคสอง ผู้ร้องทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288

หมายเหตุ

การร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดเพื่อมิให้ทำการขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ใช้บังคับกับกรณีที่มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาที่พิพากษาให้ใช้หนี้เงินซึ่งต้องยึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาออกขายทอดตลาดนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น

แต่คดีนี้เป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษาที่พิพากษาให้แบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินซึ่งไม่สามารถแบ่งกันได้จึงต้องนำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกัน มิใช่คำพิพากษาที่พิพากษาให้ใช้หนี้เงิน จึงไม่อาจมีการร้องขัดทรัพย์ตามมาตรา 288 ได้ มิใช่ว่าการขายทอดตลาดในคดีนี้มิใช่เป็นการร้องขอให้บังคับคดีตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังที่ศาลฎีกาวินิจฉัยแต่อย่างใด
ไพโรจน์ วายุภาพ

จากผมถึงสิงห์ sqweez animal

#ripsingha เมื่อคืนประมาณ 5ทุ่ม สิงห์sqweez animal ได้จากโลกนี้ไปแล้วด้วยการพลัดตก(น่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย)จากคอนโด ไม่ผิดนักถ้าผมจะพูดว่าผมก็เป็นอีกหนึ่งคนที่โตมากับเพลงของวงนี้มาตั้งแต่เรียนม.ต้น ตั้งแต่เพลงย้ำ'คำบางคำ,รักลอยลมหรือเพลงฮิตๆที่ใครๆก็รู้จักอย่างเพลงไม่เคยจะห่างกัน

"ฆ่าตัวตาย"ผมไม่โทษว่าใครผิด.ผมคงไม่ผลิตวาทะกรรมแม่ลูก ในเวลานั้นไม่มีใครรู้หรอกครับว่าจริงๆแล้วนั้นผู้ตายคิดอะไรยังไง เคสของพี่สิงหอนี้พี่เขาได้เขียนจดหมายไว้ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่รู้หรอกครับว่าจริงๆแล้วจดหมายนั้นมีนัยยะแอบแฝงอะไรไว้ มันอาจจะไม่หมายความตามเนื้อความในจดหมายก็ได้ใครจะไปรู้เพราะผู้เขียนนั้นไม่อยู่แล้ว

:ผมขอบคุณพี่สิงห์สำหรับการขับกล่อมดนตรีที่ฟังแล้วไม่มีวันเบื่อ หลังจากเขียนโพสต์นี้เสร็จผมคงเปิดยูทูปแล้วไปฟังเพลงของsqweez animalอีกหลายๆหน


วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

เมื่อครั้งเรายังเด็ก(คิดถึง)

มีคนบอกว่าควรนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก สักครั้งในทุกๆปี ผมคิดว่าเอ่อ.การนั่งดูพระอาทิตย์จะทำให้เราเกิดปฎิกิริยาRevolution ที่หมายความว่าการปฏิวัติ แต่ในรากศัพท์ภาษาละตินคำนี้คือ re+volvo นั่นหมายความว่าการหมุนอย่างซ้ำๆ การหมุนในที่นี้คือการหมุนความทรงจำในวัยเด็กอีกครั้งนึงของผม ตอนนี้ผมอายุ20นิดๆกำลังนั่งปล่อยพุงประหนึ่งว่าผมนั้นเป็นจอมมารบลูร่างอ้วนหลังจากกินช็อคโกแลตเสร็จ อยู่ที่หลังบ้านของป้าผมที่ต่างอ. ผมได้มีโอกาสหมุนกลับไปในวัยเด็กอีกครั้งด้วยการนั่งสัมผัสกับพระอาทิตย์ตก ช่วงชีวิตในวัยเด็กของทุกๆคนต่างก็มีความทรงจำที่พร่าเลือน บางครั้งพ่อแม่ก็จำได้ว่าตอนเด็กเราซนและฮาแค่ไหน แต่เรากลับจำไม่ได้ซะอย่างนั้น ความทรงจำที่ไม่อยากจำในวัยเด็กของทุกๆคนมักจะเป็นการร้องไห้เมื่อไม่ได้ของเล่นตามที่ต้องการ(บางคนมักจะโดนไม้เรียวตามมา)

วัยเด็กเราได้รับรู้ถึงของเล่นใหม่ๆหรือการไปวิ่งเล่นข้างนอกเวลาฝนตก นั่นเป็นความทรงจำในวัยเด็กของผู้ชายที่มักจะจำได้แม่น แต่สำหรับเด็กผู้หญิงนั้นน่าจะเป็นการเล่นขายของเสียเป็นส่วนมาก หรือการมีตุ๊กตาสวยๆเพื่อมาให้มานอนกอดก่อนนอนเป็นประจำ กรอบความคิดในวัยเด็กนั้นเลือนลาง แลดูจางๆไปตามกาลเวลา "แต่ของเล่นชิ้นโปรดของเรา เราจำมันได้ไม่มีลืมแน่นอน"

วันชาติอเมริกา

วันชาติเมกา' สั้นๆเข้าใจง่ายๆ(เพราะผมเข้าใจตามนี้ *-* )

-สงคราม7ปีในช่วงลัทธิล่าอาณานิคมที่เป็นการแย่งชิงกันยิ่งใหญ่ในอินเดียเมื่อ คศ.1756 ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศษผลคืออังกฤษชนะสงคราม โดยมีจอร์จ วอชิงตัน เนี้ยแหละเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง(สมัยนั้นวอชิงตันเป็นทหารมียศพันโท เมื่อเสร็จสงครามจึงลาออกจากทหารไปเป็นนักการเมืองท้องถิ่นในเวอร์จิเนีย)

-ถึงรบชนะแต่อังกฤษก็มีหนี้เยอะเลยไปขูดรีดเอากับ 13 อาณานิคม โดยการขึ้นภาษี เช่นภาษีใบชา ภาษีสแตมป์

-ทางฝั่ง 13อาณานิคมไม่พอใจไง เพราะว่าขึ้นภาษีทั้งๆที่ไม่มีผู้แทนซึ่งเป็นคนของท้องที่ตัวเอง(คนอเมริกัน)อยู่ในสภา โดยอังกฤษที่เป็นประเทศแม่ก็อ้างว่า ทุกคนใน13อาณานิคมล้วนเป็นประชาชนในอังกฤษเช่นเดียวกับเมืองแม่ จึงต้องเสียภาษีโดยไม่ต้องมีข้อแม้ (พูดง่ายๆว่าแถ)

-เหตุการณ์เหมือนภูเขาไฟที่กำลังรอวันระเบิดออกมา เกิดการกระทบกระทั่งกันอย่าง เหตุการณ์ boston tea party โดยคนในอาณานิคมปลอมตัวเป็นพวกอินเดียนแดงแล้วขึ้นไปบนเรือแล้วโยนใบชาทิ้งซะอย่างนั้น ส่วนสาเหตุก็คือ
1.รัฐบาลอังกฤษมอบสิทธิให้บริษัทอีสต์อินเดียขายใบชาให้ชาวอาณานิคมโดยตรงทำให้พ่อค้าชาวอเมริกันเสียประโยชน์
2.รัฐบาลอังกฤษยังขึ้นภาษีใบชาที่จะส่งไปอังกฤษ

หรือยังมีเหตุการณ์ปะทะกันที่บอสตันโดยทหารอังกฤษยิงปืนใส่ชาวอาณานิคมที่มาประท้วงโดยมีคนตาย 5 คน เหตุการณ์นั้นเรียกว่า "การสังหารหมู่ที่บอสตัน "

*สุดท้ายก็เกิดสงครามนำไปสู่การปลดแอกของ13อาณานิคม และก็ได้ออกคำประกาศเอกราชสหราชอาณาจักร (Declaration of Independence) ในวันที่ 4กรกฎาคม 2319 หรือ 200กว่าปีที่ผ่านมา คนที่ทำการร่างก็คือโทมัส เจอเฟอร์สัน ต่อมาเป็นประธานาธิบดีที่คนที่ 3 ของสหรัฐต่อจาก จอน อดัมส์ และจอร์จวอชิงตัน

เพิ่มเติม-การประกาศเอกราชของเหล่า13อาณานิคมต่ออังกฤษโดยถือคำสอนของจอห์น ล็อก มาพัฒนาสู่ปรัชญาการเมือง สหรัฐถือว่าเป็นแม่แบบของการกำเนิดรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดในโลก แต่ถึงกระนั้นสิทธิเสรีภาพที่ถือว่าเป็นแกนของเรื่องราวทั้งหมดก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเช่นกัน อีก 70ปีต่อมา ลินคอร์น ประกาศเลิกทาส และอีก 100กว่าปีถึงจะมีการยกเลิกการแบ่งแยกสีผิว

กว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกามาถึงทุกวันนี้ก็เหนื่อยเหมือนกันนะรวมทั้งผมด้วยกว่าจะเขียนเสร็จ รื้อหนังสือมาดูหลายรอบเหมือนกัน 55+ บั๊ยยยย

ปิดเทอมใหญ่

ปิดเทอมใหญ่หัวใจแสนสุข part 1.

     เฮลโลว่ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมได้ไปปฏิบัติธรรมในคอร์สวันเข้าพรรษาที่วัด
"บนเขา" แถวๆปากช่อง สนุกมากเลย ผมได้มีโอกาสรู้จักกับคนแปลกหน้าหลายๆคน ทั้งๆที่ความจริงแล้วมนุษยสัมพันธ์ของผมกับคนที่ไม่รู้จักมันช่างเลือนลางเหลือเกิน จากปกติจะไม่ค่อยทักใครก่อนเท่าสักเท่าไหร่(สำหรับคนที่เราไม่รู้จักหรือมันเป็นเรื่องปกตินะ) แต่มันก็ไม่แปลกสำหรับคนที่อยู่เบื้องหลังตัวอักษรแบบผมที่มักจะไม่คุ้นชินในการแสดงออกทางคำพูดสักเท่าไร แต่ความจริงแล้วผู้คนที่วัดนั้นแสนอบอุ่น พวกเขาจะเริ่มต้นด้วยบทสนทนาที่แสนละเมียดละไม เช่นคำว่า"อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ" "สวัสดีครับ นักปฏิบัติธรรมผู้เจริญ" ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าผมเป็นคนที่บังเอิญมาเจอกับไออุ่นแบบนี้หรือเพราะว่าเหตุผลอะไร แต่ถึงกระนั้นนอกจากผมจะได้มาปฏิบัติธรรมแล้วผมยังได้เสพความสุขจากผู้คนเหล่านี้อีกด้วย

ปิดเทอมใหญ่หัวใจแสนสุข part 2.

  หลังจากกลับจากปฏิบัติธรรม เรื่องราวกระทันหันที่แสนวิเศษก็วิ่งแจ้นผ่าไฟแดงมาหาผม เมื่อพี่ชายที่รู้จักกันชวนไป "ทะเล" แบบ งงๆ เอาเป็นว่าหลังจากเพิ่งมาถึงบ้านไม่ถึง 24 ชั่วโมง ผมก็ต้องมุ่งหน้าไปพัทยาตั้งแต่ ตี 4 ในวันนั้น ...

คือสารภาพตามตรงเลยนะผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก คิดว่ามันคงเป็นเรื่องปกติของคนที่มีกลิ่นชายหาดมาตั้งนานแล้ว แต่ว่าสำหรับผมคนที่มาจากถิ่นของข้าวเหนียว ส้มตำ คงไม่ค่อยจะคุ้นชินกับทะเลเท่าไรนัก
...ทะเลที่ผมเคยรู้จักมันยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งก่อน เสียงคลื่นที่คุ้นชินยังคงวาดภาพของความทรงจำเก่าๆ มีคนมาเดินขายของตลอดเวลาอย่างกับนั่งรถไฟฟรี =_= เพื่อนที่น่ารักที่สุดที่ไปเที่ยวทะเลคงไม่พ้นเพื่อนที่มีคุณสมบัติเปลี่ยนนิสัยได้ง่ายๆ
+ถ้ามองทะเลในแง่มุมที่โรแมนติคแล้ว เมื่อมาถึงทะเลบางคนอาจจะจูงมือคนรู้ใจแล้วเดินเล่นที่ชายหาด แล้วก็เดินไปเรื่อยๆทำให้สะสมความรักในหนุ่มสาวมากยิ่งขึ้น ประหนึ่งว่าทั้งสองคนอยู่ในมุมๆมุมนึงที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิต แต่อันที่จริงแล้วจะไปไหนก็แล้วแต่ หากเราไปกับคนรู้ใจ มันก็คงจะมีความสุขมากไม่ต่างกันเน้อ

ความเค็มของน้ำทะเลยังคงเอกลักษณ์ของทะเลไว้อย่าทะนงตัว เฉกเช่นมนุษย์ที่ไม่สามารถขาดความรักได้ แม้ว่าเราจะผิดหวังกับมันสักแค่ไหน แต่เราก็ยังชอบความรักอยู่ดี และไม่สามารถปฎิเสธได้ว่าเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่มีความรัก

"ความรักยังคงอยู่กับเราเสมอ ในทุกๆเช้าที่เราตื่นขึ้นมา"

เสพความสุขจากการผูกข้อมือ

การที่ผมมีประสบการณ์ที่น่าประทับใจไม่รู้ลืมในแต่ละวัน(ไม่ใช่ทุกวัน) ผมมักจะเรียงร้อยถ้อยคำแล้วกลั่นออกมาเป็นตัวอักษรเพื่อจะทำให้ตัวเองกลับมาอ่านข้อความนี้แล้วนั่งอมยิ้มเป็นประจำ คิคิ

วันนี้ผมได้ไปงานบายศรีถ้าพูดอย่างเข้าใจไม่ยากนักก็คืองานจับสายรหัสนั่นแหละ ผมได้"หลานรหัส" (น้องของน้องรหัส) 2คน แหนะ ดูๆแล้วผมแก่ขนาดที่เป็นลุงรหัสแล้วหรอเนี้ย.. เวลาผ่านไปไวจังเลย ช่วงบ่ายๆหลังจากรับขวัญน้องเสร็จแล้ว จะมีน้องๆปี1 มานั่งต่อแถวเพื่อมาให้ผูกแขนเยอะมากๆ การที่ผมนั่งท่าเดียวแล้วผูกแขนน้องๆที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายประหนึ่งสายธารที่ไหลมาอย่างต่อเนื่องทำให้ผมเป็นตะคริวจนได้ แต่นั่นไม่ทำให้ผมกังวลเพราะว่า การที่ได้คุยกับผู้คนหลายหลากในระหว่างที่ผมผูกข้อมือบวกกับมุขตลกๆเข้าไป มันทำให้ผมเห็นรอยยิ้มของน้องๆทุกๆคนที่ผมผูกข้อมือให้ สำหรับผมนั่นก็เป็น"มุมดีๆ" มุมนึงของชีวิตแล้วละครับ

การเสพความรู้สึกดีๆผมว่า บางทีเราก็สามารถรับรู้ได้แค่ตัวเอง โดยไม่ต้องไปโหยหาอะไรที่มันเกินตัวไปนักสำหรับชีวิต พยายามไขว่ขว้ามากเท่าไรจนบางครั้งเราอาจลืมไปว่าความสุขนั้นอยู่ใกล้แค่นี้เอง ;)

ความยุติธรรมกับคนยุติธรรม

วันนี้ได้ไปแจกลายเซ็น(กิจกรรมๆหนึ่ง)น้องปี 1 เลยลอง(สุ่ม)ถามคำถามก่อนแจกลายเซ็นว่า
"แล้วความยุติธรรมคืออะไร?" คือส่วนใหญ่จะตอบว่าเท่าเทียมกัน หรือ บางคนโยงไปไกลถึงเรื่องการเมืองรวมถึงเกี่ยวกับศาสนา อื้มม ต้องบอกตามตรงว่าผมก็ไม่ได้คิดคำเฉลยไว้ในหัวหรอกเพียงแต่อยากทราบถึงทัศนคติในเรื่องนี้หน่อย บางคนก็
ตอบโอเค เห็นแล้วชื่นใจ
    ประเด็นก็คือ ในหัวผมแว้ปไปถึง แนวคิดเรื่องกฎธรรมชาติหรือสิทธิที่พระเจ้าเป็นผู้กำหนดการหาเหตุผลของการดำรงอยู่หรือเกิดมีขึ้นของอำนาจอธิปไตย ที่อยู่ในยุคกลาง,ยุคศาสนจักร(ยุคที่ศาสนาคริสต์ครอบงำผู้คนในลักษณะของการปกครอง โดยสมัยนั้นฝ่ายอาณาจักร=ฝ่ายอำนาจปกครองเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของจากฝ่ายบ้านเมือง ซึ่งทำหน้าที่เป็นเพียงแขนขา ไม่ได้มีอำนาจเท่ากับระบอบศาสนา ... เอาง่าย คือยุคกลาง เป็นยุคที่ศาสนาครอบงำทุกๆอย่างของมนุษย์หรือเรียกอีกยุคนึงว่า "ยุคมืด" นั่นแหละ)
.....โดยคนที่มีแนวคิดนี้ก็คือ Sain Thomus Aquinus โดยอไควนัสเล่าถึงกฎหมายกับความยุติธรรมว่ากฎที่มนุษย์สร้างขึ้นจะเป็นกฎหมายก็ต่อเมื่อสอดคล้องกับเหตุผลที่ถูกต้องและด้วยวิธีนี้ก็เห็นได้ชัดว่ามันหลั่งไหลมาจากกฎธรรมชาติที่ถูกต้องเป็นนิรันดร์ ถ้าหากกฎหมายเบี่ยงไปจากเหตุผลที่ถูกต้อง เรามักเรียกว่ากฎหมายที่ไม่ยุติธรรม แต่ในกรณีเช่นนี้มันไม่เรียกว่ากฎหมายเลยด้วยซ้ำแต่เป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับความรุนแรง

เอาละนักบวชชาวโดมินิกันนั้น เน้นว่า หากกฎหมายจะเป็นกฎหมายที่มีความยุติธรรมนั้นจะต้องสอดคล้องกับ"เหตุผลที่ถูกต้อง"
แล้วเหตุผลที่ถูกต้องมันเป็นเช่นไรหรือ? ผมนั้นเห็นว่าความยุติธรรมกับเหตุผลที่ถูกต้องนั้นเป็นคนละเรื่องกัน ผมยกตัวอย่างเช่น ชาวยิวอย่างที่ทราบกันว่าชาวยิวนั้น ได้ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธ์โดยพรรคนาซี โดยมีผู้นำก็คือฮิตเลอร์ จำนวนชาวยิวที่ตายประมาณ 5-6 ล้านคน รวมถึงชาวยิวเชื้อสาวโปแลนด์อีกประมาณ 3 ล้านคน (เหตุผลที่ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวผมขอไม่พูดถึงเพราะเดี๋ยวออกนอกประเด็น) ชาวยิวนั้นถือว่าโดนกระทำย่ำยีโดยไม่แยแสถึงสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด ไม่มีความเห็นอกเห็นใจและพรรคนาซีก็ไม่มีความชอบธรรมมาตั้งแต่แรกในการสั่งฆ่าผู้คนที่ไม่มีความผิดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลดีสักเท่าไร ก็ไม่อาจล้างตราบาปนี้ได้ เอาง่ายๆเลยก็คือชาวยิวนั้นเป็นฝ่ายถูกกระทำไปเต็มๆ

 ต่อมาเมื่อชาวยิวได้สร้างชาติก็คือประเทศ"อิสราเอล" โดยแรงหนุนจากพี่ใหญ่มะกัน ได้รับการรับรองจากสหประชาชาติเรียบร้อย แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นมาเมื่อ พื้นที่ที่สร้างชาติอิสราเอลนั้น มีชนเผ่าดั้งเดินอยู่ก็คือทางฝั่งอาหรับ... คือประเทศปาเลสไตน์ เหตุการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชาวปาเลสไตน์นั้นถูกกดขี่อย่างหนักจากอิสราเอล เมื่อต้นศตวรรษที่21 ก็มีการปะทะกันอย่างหนักที่เขตเวสแบงค์ หรือ ฉนวนกาซ่า(พื้นที่ทับซ้อน) เอาตรงๆแล้ว ประเทศอิสราเอลหรือชาวยิวเนี้ย มาทีหลังแต่ดันใช้ความชอบธรรมจากสหประชาชาติเเพื่อมามีเรื่องกับพวกอาหรับคือปาเลสไตน์

ผมถามกับตัวเองเสมอว่าอิสราเอลเนี้ยก็เคยโดนกระทำแบบไร้ซึ่งมนุษยธรรมในสมัยของฮิทเลอร์แต่ดันมาทำตัวเยี่ยงฮิทเลอร์กับปาเลสไตน์ซะอย่างนั้น แล้วแบบนี้
คำว่ายุติธรรม กับ เหตุผลดีๆ ของ Saint thomus aquinus  อยู่ที่ไหน หากเหตุผลดีๆที่นำมาซึ่งกฎหมาย แต่ต้องแลกด้วยเลือดแบบนี้

 "ผมขอเป็นคนดี แต่มีกฎหมายที่เลวเสียยังดีกว่า"

มนุษย์คือก้อนเนื้อที่มีความต้องการ ต้องการ ต้องการ

วันนี้กลับบ้านไวเลยอยากรีรีนบทความที่เคยเขียนไว้เมื่อไม่นาน ผมชอบตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆมากมาย(แต่ไม่ถึงขนาดเป็นเจ้าหนูจำไม)
วันนึงผมเห็น น้องคนนึงพูดว่า
"ความจริง"แล้ว มันเป็น .... แล้วความจริงคืออะไร? ผมคิดไปค่อนข้างที่จะละมุนลุ่มลึกต่อไปอีกในคำถามนั้น สุดท้ายแล้วประเด็นที่ผมคัดกลั่นออกมาจากหัวของผมมันคือคำถามที่ว่า "แล้วมนุษย์ต้องการอะไรละ?"

ความต้องการสุดท้ายจริงๆแล้วของมนุษย์ ถ้าจะเลือกระหว่างสิ่งที่เป็นรูปธรรมสามารถจับต้องได้เช่น การมีรถ บ้าน ครอบครัวที่ดี มีเงินมากมาย หรือ สิ่งที่เป็นนามธรรมอย่าง อำนาจ ความเคารพนับถือ บารมี
เราสามารถพูดได้ว่าจริงๆแล้วเนี้ยมนุษย์เรามีความต้องการขั้นพื้นฐานคือกินและขี้ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยขาดสองสิ่งนี้ อาจกล่าวได้ว่ากระบวนการในการดำรงชีวิตของมนุษย์มันมีเพียงเท่านี้จริงๆกระบวนการดำรงอยู่ของมนุษย์สามารถดูได้จากปฎิกิริยาการป้องกันตัวเองของมนุษย์ในรูปแบบต่างๆ อันนำไปสู่การวิวัฒนาการในคราวต่อมา

ยังมีเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตของมนุษย์คือมนุษย์นั้นมีกระบวนการในด้านของอารมณ์ มันแสดงให้เราเห็นถึงการแสดงออกของมนุษย์ในรูปแบบใหม่ๆซึ่งไม่ใช่เฉพาะแต่กินและขี้ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นเท่านั้น โดยมนุษย์สามารถแปรอารมณ์ความรู้สึกของตนเองใหัดำรงชีวิตอยู่ได้ภายใต้ความรู้สึกที่ไม่สามารถจับต้องได้ เช่นการรู้สึกอยากให้มีคนมาชอบตัวเอง การมีความรักต่อผู้อื่น หรือความรู้สึกโกรธเกรี้ยว อิจฉาริษยาผู้อื่น นั่นคือเสน่ห์ในการใช้ชีวิตของมนุษย์ ..ทั้งยังรวมไปถึงกระบวนการคิดต่อวัตถุที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาภายใต้ยุคทุนนิยม วัตถุต่างๆล้วนตอบสนองความต้องการของมนุษย์ทั้งสิ้น(ไม่แยกแยะในแง่ของความจำเป็น-) อีกทั้งมนุษย์นั้นไม่มีทางหลุดพ้นจากมิติในสังคมทุนนิยม มนุษย์มีทั้งความสุขและความทุกข์ต่อสิ่งเหล่านี้ นั่นแสดงให้เห็นอีกว่ากระบวนการทางด้านอารมณ์ความเชื่อของมนุษย์ต่อวัตถุต่างๆที่อุปโลกน์ขึ้นมานั้นก็เป็นหนึ่งในกระบวนการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งสิ้น มนุษย์ต้องการสิ่งใหม่ๆมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองเสมอๆ

...หากมีคนมาถามว่า"ทำไมถึงดูหนังโป๊"
นั่นมันเป็นเรื่องปกติ แน่นอนผมจะตอบไปว่า"ก็เมียที่บ้านไม่ได้เซ็กซี่ขนาดนั้น"

เรื่องสั้น: บีบ

เรื่องสั้นที่ลองทำดูจริงๆจังๆ
"บีบ"

เด็กหญิงสองคนเหยียบย่ำอยู่บนพื้นหญ้าที่แห้งอับเฉาประหนึ่งว่าเป็นศพที่พึ่งถูกรถชนตายไปหมาดๆแล้วยังไม่ได้ฉีดฟอร์มาลีนจนกระทั่งศพนั้นโชยกลิ่นเหม็นเน่า ดวงดาวทอแสงสว่างไสวระยิบระยับในยามราตรีรัตติกาล ดวงดาวชั่งสวยงามนักต่างจากดวงตาที่สิ้นหวังไร้เรี่ยวแรง หดหู่อ้างว้างไม่มีทิศทางในทุกๆก้าวที่เหยียบย่ำผ่าน คล้ายกับว่าหนทางที่พวกเธอเดินนั้น เป็นหนทางนำไปสู่หลุมดำที่มิดมิดดั่งหลุมแบล็กโฮลขนาดใหญ่ที่แสนลึกลับดูน่ากลัว เมื่อมองผ่านเข้าไปที่นัยตาทั้งคู่ ความขัดแย้งในตัวเอง ความกระวนกระวายในจิตใต้สำนึกที่ไม่มีผู้ใดเข้ามารับรู้ได้ถึงภาวะความหลั่กหลั่นที่อยู่ในจิตใต้สำนึกที่ลึกเข้าไปข้างใน ยังไม่พอ มันคว้านลึกเข้าไปอย่างถึงที่สุดในจิตใจ หลังจากที่ชั่งใจอยู่สักพักหนึ่งเด็กผู้หญิงผู้พี่ ค่อยๆล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายที่ผุพัง เนื้อผ้าข้างในขาดยุ่ยรุ่งริ่งไม่มีชิ้นดีดุจดังเศษซากของผีเน่าที่คอยตามหลอกหลอนเธออยู่ตลอดเวลา เธอหยิบของสิ่งหนึ่งจากกระเป๋า เด็กหญิงผู้น้องมีนัยน์ตาที่หมองเศร้าซ่อนเร้นถึงบาดแผลของความเจ็บปวดฝังรากลงลึกไปในส่วนที่มิดมิดที่สุดในหัวใจที่บอบบางพร้อมที่จะสูญสลายไปได้ทุกเมื่อ เธอรับของที่พี่เธอส่งมาให้อย่างยินดี พวกเธอก้าวต่อไปเรื่อยๆวกวนอยู่ภายใต้จิตใจที่ขัดแย้งอย่างไม่รู้จบ

ถ้วยชามวางระเกะระกะรกรุงรัง ครอบบรรดาเศษสลักเชื้อโรคนับพันธ์ชนิดติดอยู่ที่ผนังและพื้นห้อง สว่างวาววับราวกับมีตัวตนอยู่สัมผัสได้กับกลิ่นอายของความโสมม คราบหยากไย่ยังคงความเด่นชัด เสื้อผ้าที่ส่งกลิ่นเหม็นอับคล้ายกับวิญญาณของเศษซากหนอนเน่า ยังสัมผัสได้ในทุกอณูของเสื้อผ้า ขวดเหล้าวางเกลื่อนกลาดดาษดื่นอยู่ที่ประตูที่ชำรุดทรุดโทรม ยากหยั่งถึงที่จะเรียกว่ามันคือส่วนหนึ่งของตัวบ้าน

หลังจากทับทิมไปกู้เงินจากเจ้าหนี้นอกระบบเมื่อสามเดือนก่อนเหตุการณ์ในครั้งนั้นทับทิมไม่ต่างอะไรกับนกน้อยปีกหักที่ไม่สามารถโบยบินโหยหาอิสระภาพได้อีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปเสียหมด ร้านรับจ้างซักรีดกิจการที่กำลังจะไปได้สวยก็มีอันต้องปิดตัวลงไป อนาคตครอบครัวที่แสนสุขอย่างที่เฝ้าถวิลหามีอันต้องอันตธานหายไปในชั่วพริบตา ที่ดินที่นำไปจำนองเพื่อชำระหนี้ที่กองทบขึ้นเรื่อยๆก็สูญสิ้นมลายอย่างไม่มีวันกลับมา กองหนี้ที่แสนทุกข์ทนนักหนาเพิ่มพูนงอกเงยเรื่อยๆหนี้สินประเดประดังเข้ามาใส่อย่างไม่รู้จบรู้สิ้น ลูกสาวทั้งสองคนของทับทิมต้องออกจากโรงเรียนอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งคู่เป็นเด็กที่เรียนอยู่ในเกณฑ์ดี ซ้ำยังเคยได้รับรางวัลชนะเลิศการโต้วาทีในหัวข้อศิลปะร่วมสมัยใหม่ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความประทับใจของเด็กหญิงทั้งสองคน

ทุกอย่างหายไปเด็กหญิงทั้งสองคนต้องหลบๆซ่อนๆจากเจ้าหนี้ที่ตามมาทวงหนี้ สภาวะความหวาดกลัวนำมาซึ่งฝันร้ายที่ยากเกินพรรณณาถึงได้ ก่อให้เกิดความหวาดระแวงที่ซ้อนทับกันอยู่ในจิตใจของทั้งคู่อย่างหลีกหนีไม่พ้น หลังจากมีหนี้กองโต ทับทิมอึดอัดกระวนกระวายใจอย่างถึงที่สุด ราวกับถูกใครบางคนกดหัวเธอจมน้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างบ้าคลั่ง เธอทะเลาะกับสามีเป็นประจำ เธอถูกสามีทุบตีจนใบหน้าที่บอบบางเขียวช้ำปูดบวมคล้ายกับลูกมะกรูดน่า ช่างดูน่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง ไม่แปลกนักถ้าเธอจะมีเครื่องดื่มมึนเมาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในเวลานี้ เด็กหญิงทั้งสองคนเธอต้องปวดร้าวอย่างถึงที่สุดในจิตใจของพวกเธออยากจะระบายความกดดันนี้ออกไปให้พ้นเสียที เหตุการณ์นี้มันไม่ควรเกิดขึ้น พวกเธอได้แต่เฝ้าภาวนาอ้อนวานว่านี่เป็นเพียงความฝัน ถึงอย่างไรเด็กหญิงทั้งสองก็ไม่สามารถหลีกหนีกับความจริงที่แสนโหดร้ายนี้ได้ ความเชื่อไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความจริง
สิ่งแวดล้อมรอบด้านอันสกปรกโสโครก ความเน่าเหม็นในจิตใจที่แฝงเร้น เป็นเนื้อร้ายคอยกัดกินหัวใจอย่างโลภโมโทสัน ความทุกข์ทรมานภายในจิตใจดั่งผีร้ายที่คอยอาละวาด สิ่งแปลกปลอมที่คาดไม่ถึงดึงดันย่างกายเข้ามาอยู่หน้าหุบเหวในใจของพวกเธอแล้ว พวกเธอสับสนกระวนกระวายทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ร้ายแรงและยากที่จะสลัดมันให้พ้นออกไป คงไม่มีอะไรที่น่าพรั่นพรึงไปกว่าการที่ติดอยู่ในวังวนความคิดที่อยากจะโหยหาถึงคำตอบที่แท้จริงในจิตใจของตัวเองเป็นแน่แท้ ความกระอักกระอ่วนใจยังคงท่วมอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ กระบวนการถ่ายทอดถึงคำตอบที่เป็นอยู่ ยากที่จะหยั่งถึง แม้มีเครื่องช่วยหายใจนับสิบห้อยโย้เย๊ระโยงรยางค์อยู่ ก็ไม่อาจรักษาบาดแผลนี้ได้ ปัง!

โต้วาทีกับความบ้าของผม

วันนี้มีงานของคณะ ช่วงสายๆแวะไปดูโต้วาทีหัวข้อกฎหมายกับจารีตฯ เป็นการดูโต้วาทีกันสดๆครั้งแรกในชีวิต(ปกติชอบดูการเสวนาของพวนักวิชาการในยูทูปมากกว่าพร้อมกับการเข้าใจแบบงูๆปลาๆ) เป็นการโต้กันที่เมามันส์มากระหว่างนิติ(ฝ่ายนักกฎหมาย)vsรปศ(ฝ่ายชาวบ้าน) จุดสังเกตุอย่างนึงคือ ทั้งสองฝ่ายมักเอาเรื่อง"การหลงประเด็น"มาโจมตีอีกฝ่ายเสียเป็นส่วนมาก ไอ้ผมก็ไม่ได้มีวาทะศิลป์อะไรมากมายกับการเยว้ เยว้ หรือการใช้ภาษาที่สละสลวยรวมถึงการเปรียบเทียบเนื้อหาที่มันเวิร์คๆในการโต้วาที เพียงแต่ชอบฟังเสียเป็นส่วนใหญ่ ผมเลยเน้นจังหวะจะโคนไปที่เนื้อหาของประเด็นเลย ขณะที่ฟังผมครุ่นคิดในใจว่า แบบนี้มันไม่ใช่ มันต้องแบบนี้ ทั้งๆที่คำถามที่เขาเอามาโต้วาทีนั้นไม่มีอันไหนถูกที่สุดหรือผิดที่สุด มันเป็นคำถามในแง่ของปรัชญานี่หว่าาในความคิดผม ไม่ว่าจะจารีตฯหรือว่ากฎหมายมันก็ต่างเป็นบรรทัดฐานของสังคมอยู่แล้วเพียงอาศัยบริบทแวดล้อม ทั้งปัจจัยต่างๆในการใช้งานซิน้าา ผมไม่สามารถให้เหตุผลทางตรรกะวิทยามาอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้หรอก มันไม่มีสมมุติฐานใดหรือการตีความแบบไหนมาหาเหตุผลให้กับคำถามพวกนี้ได้หรอก บ้าเอ้ย! ที่ผมคิดไปในตอนแรกสิ่งเหล่านี้กลายเป็นภาวะการหลงประเด็นอย่างยิ่งใหญ่ ผมขอเรียกมันว่า "การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางความคิดที่แยบยลที่สุดในตัวผม" ละกัน(metamorphosis)

หลักกฎหมาย:คดีมโนสาเรคือ?

ทบทวนหลักกฎหมายหัวข้อ คดีมโนสาเร่ไม่ยากเลย 5555

189..คดีมโนคือ คดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นตัวเงินได้ไม่เกิน 300000 บาท เรียกอย่างง่ายๆว่า คดีมีทุนทรัพย์ คือ เป็นคดีที่เรียกร้องเอาทรัพย์สินมาเป็นของโจทก์หรือเป็นคดีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องที่เป็นหนี้เงินอันเป็นของโจทก์ที่คำนวณเป็นราคาเงินได้ กล่าวคือต้องเป็นคดีที่ถ้ามีคำขออันใดที่หากศาลพิพากษาให้ตามคำขอแล้วจะมีผลให้โจทก์ได้ทรัพย์สินมาเป็นของโจทก์หรือได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นมานั่นเอง

Ex1  ก.มีตัง 10000 ให้ ข.ยืม ไป10000 ข.ไม่คืน ก.สามารถฟ้อง ข.ได้อย่างคดีมีทุนทรัพย์ โดยพิจารณาจากกฎหมายสารบัญญัติ ม.650 การกู้ยืมเงินนั้นกรรมสิทธิ์ย่อมโอนไปยังผู้ยืม ดังนั้น การที่ ก.ให้ ข.ยืมเงินไป 10000 บาท กรรมสิทธิ์ในเงินนั้นย่อมสิ้นไปแล้ว หลักของอ.หาก กรรมสิทธิตัดไปแล้วย่อมถือว่า ก.ที่เป็นเจ้าของทรัพย์ขาดจากการเป็นเจ้าของแล้วนั่นเอง หากศาลมีคำพิพากษาตามคำขอย่อมทำให้ ก.ได้ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมานั่นเองครับ
Ex2 คดีฟ้องเพิกถอนการให้โดยเหตุผู้รับเนรคุณ “การให้นั้นกรรมสิทธิ์ตกเป็นของผู้รับ” การเพิกถอนดังกล่าวก็มีผลให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินกลับคืนมาเป็นของผู้ให้ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์
Ex3 คดีที่ผู้ขายฝากฟ้องขอให้ไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝาก โดยอ้างว่าได้ใช้สิทธิไถ่ภายในกำหนดแล้ว เนื่องจากสัญญาขายฝากนั้น”กรรมสิทธิ์โอน” ไปยังผู้ซื้อฝากแล้ว ... จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์
Ex4 ให้เพื่อนยืมมอไซ(ยืมใช้คงรูป กรรมสิทธิ)ยังไม่โอน ผลของคำพิพากษาไม่ทำให้ โจทก์ได้ทรัพย์เพิ่ม จึงไม่เป็นคดีมีทุนทรัพย์

คดีไม่มีทุนทรัพย์คือ คดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันมิอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ได้แก่ คดีที่มีคำขอให้กระทำการหรือละเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ของโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้เรียกร้องหรือกล่าวอ้างเป็นจำนวนเงินหรือทรัพย์สิน...รวมถึงคดีที่โจทก์เรียกร้องหรือขอในสิ่งซึ่งเป็นของตนอยู่แล้วหรือเพียงขอให้ศาลแสดงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งโดยผลของคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นเองไม่ทำให้โจทก์ได้ทรัพย์สิ่งใดเพิ่มขึ้นมา

ขั้นแรกที่ต้องพิจารณาว่าเป็นคดีมโนสาเร่หรือไม่ คือ 1.ต้องดูว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่ ถ้าเป็น ก็ดูวงเงินภายใน 3แสนบาท หากอยู่ในวงเงินนั้นก็เป็นคดีมโนสาเร่ ถ้าไม่เป็นคดีที่ไม่ทุนทรัพย์ โดยหลักแล้วไม่เป็นคดีมโนสาเร่(ชาตินี้ไม่เป็น) ดูจากตัวบทมาตรา 189(1) ถ้ามันไม่เป็นคดีมโน มันจึงเป็นคดีแพ่งสามัญ ฟ้องที่ศาลจังหวัด ยกเว้นคดีไม่มีทุนทรัพย์ประเภทฟ้องขับไล่ตาม 189(2) แสดงว่าคดีไม่มีทุนทรัพย์นั้นมีหลายประเภท ครอบครองปรปักษ์ ร้องขอจัดการมรดก ร้องขอใหร้านคาราโอเกะเสียงเบาๆฯ โดยพิจารณาตาม 188(2)  แสดงว่าคดีประเภทฟ้องขับไล่จะเป็นคดีมโนสาเร่ไหม? ก็ไม่แน่ มันจะต้องเข้าองค์ประกอบ 189(2) ... ค่าเช่าต้องไม่เกิน 30000 แล้วถ้าเกินละ 40000 =มันก็เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ที่ไม่เข้าข้อยกเว้น ตาม189(2) มันก็เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ = เป็นคดีแพ่งสามัญฟ้องที่ศาลจังหวัด สังเกต 189(2)ก็ยังเป็นคดีที่ไม่มีทุนทรัพย์อยู่นะ แต่กฎหมายบอกว่าถ้า “ค่าเช่าไม่เกิน30000” เขาให้ถือว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ที่เป็นคดีมโนสาเร่ นี่แหละคือสาเหตุที่ต้องไปฟ้องที่ศาลจังหวัดก่อน อยู่ดีๆจะไปฟ้องที่ศาลแขวงเลยไม่ได้ ค่าเช่าเดือนละ 30000 ถ้าคุณคิดว่าฟ้องขับไล่ค่าเช่าไม่เกิน 30000 ไปฟ้องที่ศาลแขวงก่อนเลย ผิดนะครับ คุณอย่าเข้าใจว่าคดีมโนสาเร่ต้องไปฟ้องที่ศาลแขวงก่อนทั้งหมด มันไม่ใช่เพราะถึงแม้มันจะเข้าข้อยกเว้นค่าเช่าเดือนละไม่เกิน 30000 แต่มันก็ยังเป็นคดีที่ไม่มีทุนทรัพย์อยู่ดี ศาลแขวงไม่มีอำนาจพิจารณา เพราะศาลแขวงพิจารณาแต่คดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 3แสนเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นคดีมโนสาเร่ตาม 189(2) ยังคงพิจารณาอยู่ที่ศาลจังหวัด โดยศาลจังหวัดเอาวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่มาใช้ในการพิจารณาคดี
พูดน้อยๆไม่ให้สับสนคือ ถ้าเกิดมันเป็นคดีฟ้องขับไล่ แต่ค่าเช่ามันเกิน 30000 มันก็ไม่ใช่คดีมโนสาเร่ แต่มันก็เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์อยู่อย่างนั้น เพราะไม่เข้าองค์ประกอบ 189(2)

***คดีครอบครองปรปักษ์เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ไหม = ไม่มี แม้แต่คดีฟ้องขับไล่ตาม 189(2) ถ้าไม่เกิน 30000 ซึ่งเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ มันจะกลายเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ได้ไหม **ยกเว้นรอบ 2 = มันเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ได้นะ 1382 ฟ้องขับไล่ออกจากที่ดิน จะกลายเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ได้ ต้องดูที่คำให้การจำเลย ว่าเป็นคำให้การต่อสู้กรรมสิทธิไหม คดีที่ไม่มีทุนทรัพย์ทุกประเภท ถ้าจำเลยให้การโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิเมื่อไร จะกลายเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ทันที เมื่อมันกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ มันจึงแปรเปลี่ยนไปพิจารณามาตรา 189(1)เพื่อจะดูว่าเป็นคดีมโนสาเร่หรือไม่(ดูวงเงิน 3แสน) ทันที

Ex1 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่าไม่ออกจากที่ดินแปลงนี้เพราะที่ดินแปลงนี้เป็นของพ่อจำเลย
Ex2 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่าไม่ออกจากที่ดินแปลงนี้เพราะครอบครอบปรปักษ์ ขอให้ศาลยกฟ้อง
Ex3 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่าไม่ออกจากที่ดินแปลงนี้เพราะที่ดินแปลงนี้โจทก์ได้ขายให้จำเลยแล้ว
Ex4 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่าไม่ออกจากที่ดินแปลงนี้เพราะสัญญาเช่ายังไม่หมดเลย
**อันไหนเป็นคำให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์บ้าง
การโต้แย้งกรรมสิทธิ์มีหลักอยู่ว่าต้องกล่าวอ้างว่าทรัพย์นั้นเป็นของตัวเอง
ตัวอย่างที่ 1 ไม่ เพราะอ้างว่าเป็นของพ่อ
ตัวอย่างที่ 2 ใช่
ตัวอย่างที่ 3 ใช่
ตัวอย่างที่ 4 ไม่ เพราะที่ดินยังเป็นของโจทก์อยู่ เพียงแต่จำเลยมีสิทธิตามสัญญาเช่า คือไม่ได้โต้แย้งกรรมสิทธิเลย แค่อยู่เพียงอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่า
***//ตัวอย่างทั้งหมดไม่ใช่คดีที่มีทุนทรัพย์เลย แต่มันอาจจะกลายเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ได้ ต่อเมื่อจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ แล้วการต่อสู้กรรมสิทธิ์นั้นต้องต่อสู้ว่าเป็นของตัวเองเท่านั้น ถ้ามีการต่อสู้= กลายเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์แล้ว มันจะเป็นคดีมโนสาเร่หรือคดีแพ่งสามัญก็ต้องดูที่ทุนทรัพย์ว่าราคาเท่าไร ถ้าทุนทรัพย์เกิน3แสนเมื่อไร มันไม่ใช่คดีมโนสาเร่ แต่จะกลายเป็นคดีแพ่งสามัญ ถ้าเป็นคดีมโนสาเร่ วิธีพิจารณาทั้งหมดใช้แบบมโนสาเร่เลย

***Ex.ให้ยืมรถมอไซราคา 30000 เพื่อนเอาไปจำนำแล้ว คืนไม่ได้ = ไม่ได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์ ต้องอย่าลืมว่ามันเป็นคดีที่ไม่มีทุนทรัพย์(เป็นการฟ้องเอาทรัพย์ตัวเอง ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นมา) จะพิจารณาอย่างคดีมโนสาเร่ไม่ได้ ต้องไปพิจารณาคดีอย่างแพ่งสามัญไปศาลจังหวัด คล้ายๆกับตัวอย่างด้านบน
แต่ถ้าเพื่อนโต้แย้งว่าโจทก์ขายให้แล้ว = เป็นการโต้แย้งกรรมสิทธิ์>กลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์>พิจารณา198(1)
***Ex.ยืมแหวนราคา30000 จำเลยบอกว่าหาย คำว่าหาย= ไม่ได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์นะ เขาก็ยอมรับว่าแหวนเป็นของโจทก์อยู่ = มันเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ >ไปฟ้องที่ศาลจังหวัด เป็นคดีแพ่งสามัญ แม้ว่าราคาเท่าไรก็ตาม  ระวังโดนหลอก****
***ค่าเช่าไม่เกิน 30000 เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ต้องไปฟ้องที่ศาลจังหวัด แต่ศาลจังหวัดจะรับฟ้องแบบมโนสาเร่เพราะมันเข้า 189 (2) สรุปง่ายๆคือเป็นคดีมโนสาเร่ที่ต้องฟ้องที่ศาลจังหวัด โดยคนส่วนใหญ่ที่โดนหลอกมักจะคิดแต่ว่า คดีมโนสาเร่ต้องฟ้องเฉพาะที่ศาลแขวงเท่านั้น ระวังโดนหลอก

โปรดติดตามตอนต่อไป

บุญและกรรม

อ่านจากกรุ๊ปของอ.ธเนศ แล้วสะกิดใจครับ อิ__อิ

ทำไมแต่ก่อน เขาถึงอ้างถึงบุญและกรรม
เคยอ่านถึง กฎหมายลักษณะผัวเมีย ในบทที่ ๖๗ ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ ภริยาสามีมิชอบเนื้อพึงใจกัน เขาจะหย่ากันไซร้ตามใจเขา เหตุว่าเข้าทั้งสองนั้นสิ้นบุญกันแล้วจะจำใจให้อยู่ด้วยกั้นนั้นมิได้ ”
ถ้าเทียบเคียงแล้ว ทางยุโรปมีกฏหมายลักษณะนี้ ทำนองว่าเป็นเพราะความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า อย่างนั้นหรอกหรือ
มนุษย์นั้นเมื่อตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้เองจึงต้องพึ่งสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่เสมอๆ หรืออย่างเช่นการบูชาไฟ การบูชาพระอาทิตย์ หรือแม้แต่การบูชาโยนี(อวัยวะเพศหญิง) ในสมัยเมโสโปเตเมีย วัฒนธรรม ศีลธรรม หรือในเรื่องศาสนาจึงไม่สามารถหลีกหนีจากชุดความคิดที่ว่า “เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น” โดยมีจุดประสงค์คือเพื่อคุ้มครองตัวเองจากในโลกนี้หรือในโลกหน้า อันเป็นผลมาจากที่ศีลธรรมนั้นมีหลายระดับโดยพิเคราะห์จากระดับของปัจเจกในแต่ละระดับ คนบางระดับนั้นเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นการนิยมไหว้พระในระดับเกจิดังๆ การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การเฉลิมฉลองในพิธีต่างๆเพื่อเป็นสิริมงคลในการกิจการต่างๆ บ้างก็ทำบุญอธิษฐานหากโลกหน้ามีจริง บุญจะส่งผลให้ร่ำรวยเจริญงอกงามในชาตินี้และมีความสุขในชาติหน้า ตายไปได้เกิดในภพภูมิที่ดีฯ และผมก็คงคิดว่ากระบวนการสร้างสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ยังเกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัย

หลักกฎหมาย:ร้องสอด

ทบทวนหลักกฎหมายหัวข้อร้องสอด อิ__อิ

บุคคลภายนอกที่มิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้ด้วยการร้องสอด ว.1
1.ผู้ที่จะร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้จะต้องเป็นบุคคลภายนอก มิใช่คู่ความในคดีเดิม เช่นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสอง ต่อมาโจทก์ทิ้งฟ้องจำเลยคนหนึ่ง ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดี โจทก์มีสิทธิขอให้เรียกจำเลยคนนั้นเข้ามาในคดีได้ เพราะถือว่าจำเลยที่ศาลจำเลยคดีเป็นบุคคลภายบอก มิใช่คู่ความในคดีอีก.
ฎ.5463/2534 การเข้ามาเป็นคู่ความโดยการร้องสอดตาม ม.57 ไม่ว่าจะเป็นการขอเข้ามาเองหรือถูกหมายเรียกเข้ามา ผู้ที่จะเข้ามาต้องเป็นบุคคลภยนอกคดี จำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 ขอให้เรียกเข้ามาเป็นคู่ความอยู่ในคดีแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณาและขาดนัดยื่นคำให้การ แต่โจทก์ยังดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ต่อไป จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นบุคคลภายนอกที่จำเลยที่ 2จะเรียกเข้ามาโดยการร้องสอดตาม 57(3) ได้
2.คดีที่จะร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความได้ ต้องมีคำฟ้องเดิมซึ่งโจทก์มีอำนาจฟ้องโดยสมบูรณ์ตามกฎหมาย หากฟ้องเดิมโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเท่ากับไม่มีคดีที่จะร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความได้ กล่าวคือ การร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีจะต้องอยู่ในบังคับของมาตรา 55 คือต้องถูกโต้แย้งสิทธิเสียก่อน และ ต้องผ่านการแก้ไขข้อบกพร่องของบุคคลตามมาตรา 56 ก่อนจ้า
ฎ.1050/2493 บุตรฟ้องเรียกที่นาของบิดาคืนอ้างว่าเป็นทายาท เมื่อปรากฏว่าบิดายังมีชีวิตอยู่ อำนาจฟ้องของโจทก์ย่อมหมดไป บิดาจะขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมไม่ได้ เพราะไม่มีฟ้องเดิมที่สมบูรณ์จะเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม
3.การที่ศาลจะอนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้หรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาลสุดแล้วแต่คำร้องนั้นมีเหตุสมควรเพียงใด เช่นผู้ร้องทราบการฟ้องคดีมาตั้งแต่แรก แต่ก็มิได้ร้องสอดเข้ามาในคดีทันที เพิ่งร้องสอดเข้ามาหลังจากโจทก์ฟ้องคดีได้ 5ปีเศษ จนได้มีการสืบพยานโจทก์ได้เสร็จสิ้นแล้ว โดยสืบพยานของโจทก์ทั้งหมด 14 นัด พยานจำเลยก็สืบทั้งหมดรวม 29 นัด จวนจะเสร็จสิ้นพยานจำเลยอยู่แล้ว จึงไม่สมควรจะอนุญาตให้ร้องสอดเข้ามาในคดีเพราะจะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเพิ่มความยุ่งยากขึ้น **ศาลอาจสั่งให้ไปฟ้องในในอีกคดีนึงก็ได้นะจ้ะ
4.การอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาในคดีต้องถือตามสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายของผู้ร้องสอดว่าจะเข้ามาได้ตามอนุมาตราใด กล่าวคือคำร้องสอดที่บุคคลภายนอกยื่นต่อศาลต้องกล่าวว่าร้องสอดเข้ามาเพราะเหตุใดและจะระบุว่าเข้ามาตามมาตรา 57 อนุมาตราใดด้วยก็ได้ แต่เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง มิใช่ต้องถือตามที่ระบุมาโดยเด็ดขาดตามคำร้อง ถ้าขอร้องสอดเข้ามาตามมาตรา 57 อนุ2 ซึ่งผิดพลาดไป ที่ถูกเป็นกรณี ตามมาตรา 57อนุ 1 ศาลปรับบทให้ถูกต้องโดยถือว่าเป็นการร้องสอดตามมาตรา 57 อนุ 1ได้
ฎ 5530/2533 โจทก์ฟ้องให้จำเลยรื้อถอนห้องแถวและขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารและใช้ค่าเสียหาย ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า ห้องแถวเป็นของผู้ร้องสอด ซึ่งแม้คำร้องจะขอเข้ามาเป็นคู่ความร่วม แต่เนื้อหาแห่งคำร้องเป็นการขอเข้ามาเป็นคู่ความตามมาตรา 57 อนุ 1 ศาลย่อมพิจารณาคำร้องสอดตามเนื้อหาที่ปรากฏได้
5.ต้องมีคดีค้างอยู่ในการพิจารณาของศาลก่อน จึงจะมีการร้องสอดได้ ถ้าคดีนั้นศาลยกฟ้อง หรือจำหน่ายออกจากศาลระบบแล้ว จึงไม่ถือว่ามีคดีค้างอยู่ในการพิจารณาของศาล ศาลอาจสั่งไม่รับคำร้องขอของผู้ร้องได้
ฎ.5383/2534 ตามคำร้องเป็นเรื่องผู้ร้องร่วมทั้งสองประสงค์จะเข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ซึ่งกฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้บุคคลภายนอกร้องขอเข้าเป็นคู่ความได้โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา เมื่อปรากฏว่าในวันที่ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความนั้นศาลชั้นต้นได้สั่งยกคำร้องของผู้ร้องไปแล้ว จึงไม่มีคดีของผู้ร้องที่ผู้ร้องร่วมทั้งสองจะเข้ามาเป็นคู่ความได้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นในขณะ ที่ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอ ดังนั้นศาลจึงชอบที่จะสั่งไม่รับคำร้องขอของผู้ร้องร่วมทั้งสองได้.
เดี๋ยวมาต่อ .. ไปเรียนก่อน 55