วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

โยนี/ผู้หญิงกับประวัติศาสตร์การสร้าง/เพศ-ศีลธรรมกับการย้อนแย้งกันเอง

ปัจจุบันบรรดาเฟมินิสต์(นักเคลื่อนไหวด้านสิทธสตรี)หลายๆคนร่วมกันสร้างคุณค่าให้กับเพศหญิงให้มีความเท่าเทียมกับเพศชายในด้านต่างๆมากมาย
ในอดีตแล้วการขับเคลื่อนของสตรีที่เด่นๆก็เริ่มต้นมาจากประเทศพี่ใหญ่ของเราทางฝั่งตะวันตก ตัวอย่างที่เห็นภาพได้ชัดๆ.แม้ลินคอร์นจะประกาศเลิกทาสแล้ว(**การเลิกทาสในประเทศเมกา'สมัยนั้นมีมลรัฐที่ภาคใต้ที่ไม่เห็นด้วย แต่มลรัฐภาคเหนือเห็นด้วย กล่าวคือรัฐทางเหนือมีสภาพเศรษฐกิจที่เน้นด้านอุตสาหกรรมเป็นหลักและมีภาคกสิกรรมในรูปแบบไร่นาขนาดเล็กที่ใช้แรงงานในครอบครัว ขณะที่รัฐทางใต้มีสภาพเศรษฐกิจที่เน้นด้านกสิกรรมเป็นหลักคล้ายรูปแบบของเจ้าที่ดินสมัยศักดินา โดยจะมีการทำไร่ขนาดใหญ่ที่ใช้แรงงานทาส)
การเลิกทาสเมื่อปี1863ของลินคอห์น จึงมีผลให้ปลดปล่อยทาสทันที50000 คน กระนั้นเพศหญิงไม่ว่าจะผิวสีไหนก็ตาม รวมถึงเพศชายผิวดำไม่ได้มีสิทธิในการเลือกตั้งในระบบการเมืองระบอบประชาธิปไตย น่าแปลกที่"สิทธิความเป็นพลเมืองของสตรี"เพิ่งจะได้มีการระเบิดพลังออกมาจนในที่สุดเพศหญิงก็มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในเมกา'ได้ในปี 1920 นำทัพโดยเฟมินิสต์เทพๆคือ Lucretia MottและElizabeth Cady รวมถึงเพศชายผิวดำที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในสมัยประธานาธิบดีจอห์นสัน ในปี1964 ในยุคสมัยของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง jr ในที่สุดเพศหญิงและเพศชายก็มีสิทธิเท่าเทียมกันในทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย โดยฝั่งเพศชายนั้นเพิ่งจะระเบิดสิทธิของตัวเองออกมาเมื่อเกือบๆ 100 ปีหลังจากเลิกทาส ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะประวัติศาสตร์ของเมกา'จึงเสมือนหนึ่งว่าเป็น"ของขวัญ"ของส่วมรวมไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง

ในอดีต..ความเชื่อที่เกิดเป็นประเพณีในเวลาต่อมาของชาวจีนราวศต.ที่10เกิดขึ้นเมื่อกษัตริย์ Li yu แห่งรางวงศ์ถัง ได้มีนางสนมผู้หนึ่ง ต้องการมัดใจจักรพรรดิ์จึงได้นำผ้ามาพันเท้าให้เล็กๆเพื่อทำการแสดงการรำบนกลีบดอกบัวต่อหน้าพระพักดิ์ เมื่อจักรพรรดิ์เห็นจึงเกิดความประทับใจอย่างมาก จึงได้สั่งให้นางทาสรัดเท้าของเธอด้วยผ้าไหม และขึ้นไปร่ายรำบนเวทีที่โรยด้วยดอกบัวทอง นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ประเพณีการรัดเท้ากับดอกบัวทองจึงเป็นของคู่กันมา(ข้อมูลจากวิกิ) นั่นทำให้เราเห็นว่าสถานะของชาวจีนในสมัยก่อนนั้นก็ถูกกดทับให้อยู่ในสถานะที่กดให้ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะการรัดเท้าเป็นดอกบัวนั้นเป็นการทำให้โครงสร้างทางกระดูกเปลี่ยนแปลงเพราะถุกรัดอย่างรุนแรง จึงทำให้เหมือนกับว่าเท้ามีเพียง4นิ้ว ส่งผลให้ลักษณะทางกายภาพดูด้อยค่าลงจะเดินไปไหนก็ไม่สะดวก ทั้งนี้ผู้หญิงกว่าร้อยละ45 ที่รัดเท้าดอกบัวส่วนใหญ่จะเป็นพวกสนมในวัง อาจเดาได้ว่าอาจมีผู้หญิงที่จะหลบหนีออกจากวังในอดีตจึงทำให้มีประเพณีนี้ขึ้นมา เหมือนกับเป็นการกดขี่เพศหญิงทางอ้อม (เพราะจะเดินไปไหนก็ลำบาก) บ้างก็อ้างว่าการรัดเท้าเป็นดอกบัวจะทำให้อวัยวะเพศหญิงดูอวบอูม ทำให้เกิดเสน่ห์ทางเพศเพิ่มมากขึ้น ในกรณีนี้ไม่ใช่ว่าเพศหญิงทั้งหมดจะถูกบังคับให้ปฎิบัติตามประเพณีนี้ บ้างก็ทำด้วยความเต็มใจเอง

หากมองในกรอบคิดของศาสนาคริสต์การกำเนิดของมนุษย์เกิดจากการมนุษย์ชายหญิงคู่แรกของโลกคืออีฟกับอดัมไปขโมยกินแอปเปิ้ลในสวนอีเดนของพระเจ้า เหตุคือมีซาตานแปลงกายมาเป็นงูแล้วบอกกับอีฟว่า ที่พระเจ้าห้ามให้กินแอปเปิ้ลเพราะว่าพระเจ้ากลัวว่าจะมีใครฉลาดกว่าตน เมื่อรู้ดังนี้อีฟจึงชวนอดัมมากินแอปเปิ้ลด้วยกันจึงเกิดเป็นเรื่องเล่าต่อมาในไบเบิ้ล เห็นว่าแม้ในทางศาสนาอีฟ(เพศหญิง)ยังถูกกดขี่โดยการถูกงู..งูเป็นลักษณะคล้ายศิวะลึงค์ของเพศชาย มาหลอกให้ขโมยแอปเปิ้ลกิน การกดทับทางเพศยังมีอย่างต่อเนื่อง กล่าวกันว่าในคัมภีร์ไบเบิลได้ลดเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นผู้หญิง เริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิดที่เป็นผู้หญิง จากคำสอนของศาสนาคริสต์ในยุคแรก สตรีจะมีช่วงที่ไม่สะอาด เช่นในช่วงระหว่างการมาประจำเดือนและหลังจากการคลอดบุตร จึงถือว่าสตรีนั้นจะมีช่วงที่สกปรกคือเป็นช่วงที่มีมลทินในชีวิตในบางช่วง กรอบการมองสตรีเพศในศาสนาคริสต์จึงมองว่าการร่วมเพศนั้นเป็นสิ่งที่สกปรก แต่การกำเนิดของมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ว่าอย่างไรเมื่อการกำเนิดนั้นต้องร่วมเพศ แนวความคิดจึงเปลี่ยนไปเป็นการอลุ่มอลวยให้แก่กันคือร่วมเพศได้ แต่จะต้องมีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น สถาบันครอบครัวในมุมของคริสต์ศาสนาจึงถือเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุด
แม้โยนีจะถูกมองว่าเป็นเรื่องที่สกปรก แต่ตรงกันข้ามกันในศาสนาฮินดูในคัมภีร์พระเวทย์โบราณของอินเดีย ลึงค์(อวัยวะเพศชาย)เป็นพลังสร้างสรรค์ของธรรมชาติและเป็นตัวแทนของพระศิวะ หินลึงค์มักวางอยู่ในโยนี โยนีเป็นต้นกำหนดของสิ่งทั้งปวงซึ่งหากปราศจากโยนีแล้ว ความเป็นบุรุษก็ไร้ค่าและปราศจากความหมาย ลึงค์และโยนีอยู่ร่วมกันเป็นตัวแทนนามธรรมของการสรรค์สร้าง จึงไม่แปลกที่ะมีการบูชาเฉลิมฉลองโยนีซึ่งจัดเป็นเทศการประจำปีในรัฐอัสสัมประเทศอินเดีย

สุภาษิตสอนหญิงของสุนทรภู่อ้างมาบ้างส่วน
"จะนุ่งห่มดูพอสมศักดิ์สงวน ให้สมควรรับพักตร์ตามศักดิ์ศรี
จะผัดหน้าทาแป้งแต่งอินทรีย์ ดูฉวีผิวเนื้ออย่าเหลือเกิน"
คำกลอนที่สอนให้ผู้หญิงรู้จักระวังตัว แต่งหน้าให้พอประมาณ ห้ามให้ทำกิริยาที่ดูเหมือนต้องการผู้ชาย(สมัยนี้น่าจะเรียกว่าร่าน) กลับกันภาษิต'นี้มองว่าเพศชายเป็นเพศที่หลอกลวง ปลิ้นปล่อน กะล่อน เหลวไหล ไม่มีความรับผิดชอบ อย่าเอาผู้ชายประเภทที่หลงเราเพียงเท่านี้เป็นคู่ชีวิต นอกจากนั้นยังมองว่าการร่วมเพศเป็นสิ่งที่น่ารังเกลียด เป็นของที่สกปรก ต่ำและอันตรายไปในตัว เป็นการสร้างบรรทัดฐานว่าหากคุณจะต้องการร่วมเพศจะต้องเป็นการร่วมเพศที่มีศีลธรรมมากำกับว่า "หากคุณจะร่วมเพศก็สามารถทำได้ ถ้าการร่วมเพศนั้นไม่ผิดศีลธรรม" ปัญหาคือการร่วมเพศเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ หญิงชายคู่หนึ่งร่วมเพศกัน แต่คุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าก่อนที่ทั้งคู่จะร่วมเพศกันนั้น เขาทำผิดศีลธรรมก่อนหน้านั้นหรือไม่ สามารถมองภาพได้จากสังคมไทยในอดีตเรื่องการคลุมถุงชน จะเห็นว่าไม่จำเป็นที่หญิงชายจะรักกัน แต่หากครอบครัวทั้งสองต้องการให้แต่งงานกันก็จำเป็นต้องแต่ง...ดังนั้นการร่วมเพศและศีลธรรมจึงมีความขัดแย้งในตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หรือแม้แต่การที่เราจะกำหนดกรอบศีลธรรมการร่วมเพศและกามารมณ์ผ่านทางสถาบันอื่นที่ไม่ใช่สถาบันครอบครัวก็เป็นเรื่องที่สังคมทำความเข้าใจยากเช่นการเป็นโสเภณีที่ดีไม่หลอกลวงลูกค้า ได้เงินมาต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ เกย์หรือเลสเบี้ยนต้องไม่สำส่อนมีคนรักเพียงคนเดียว ไม่หยาบคาย หรือถ้าเป็นกระเทยก็ต้องมีนิสัยสุภาพอ่อนหวาน ไม่สร้างความรำคาญให้กับผู้อื่นเป็นต้น
"ไม่ว่าเพศไหนก็ไม่ควรที่จะถูกมองว่าด้อยค่า"

 

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Everest กับการก้ามข้ามพ้นขีดจำกัดของมนุษย์



หนังสร้างจากเรื่องจริงเล่าไปถึงปี1996 เป็นเหตุการณ์ที่มีนักปีนเขาบนยอดเขาEverest เสียชีวิตเยอะที่สุดคือ15 หรือ 16คนไม่ ผมก็นั่งดูไปเรื่อยๆเพื่อนผมที่ไปด้วยกันมันกระซิบมาถามว่า ตายกันง่ายๆขนาดนี้(เพราะว่าถ้าคนปกติขึ้นไปยอดเขาแล้วแช่อยู่นั่นนาน5นาทีจะหมดสติแล้วตายทันที) ทำไมคนถึงยังไปกันวะ?” คำถามของมันเริ่มตั้งคำถามให้ผมฉุกคิดว่า เออ..แล้วจะไปกันทำไมวะ ค่าใช้จ่ายที่ขึ้นเขาไม่ต่ำกว่า 2ล้านบาท ในระยะเวลา 2เดือนนะคร้าบบ คนที่ไปคือนอกจากรวยแล้วยังต้องบ้าอีกด้วย ยอมรับตรงๆว่าผมคิดงั้นในตอนแรกคือ แม่งบ้า
นั่งดูหนังไปเรื่อยๆคำตอบในหัวผมเริ่มกระจ่าง เมื่อตัวละครตัวหนึ่งได้เปิดประเด็นว่า"พวกคุณมาทำไม"
Beck Weathers หนึ่งในนักปีนเขาที่มีปัญหากับครอบครัว 
Yasuko Namba
นักปีนเขาหญิงชาวญี่ปุ่นผู้ที่อยากจัดว่า Everest เป็นยอดเขาที่ 7 ในยอดเขา 7ทวีปที่เธอพิชิตมาได้
Doug Hansen
บุรุษไปรษณีย์ที่ทำเพื่อเด็กๆ
Scote fischer
นักปีนเขาที่ชอบสร้างสถิติปีนเขาโดยไม่ใช้ออกซิเจน

ทุกคนล้วนมาด้วยเหตุผลที่ต่างกัน แต่มีจุดมุ่งหมายที่เดียวกัน ยอดเขาที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดและอันตรายที่สุด กว่าจะไปถึงข้างบนยอดภูเขานั้นยากมากมายนัก ทั้งคนที่บาดเจ็บ ทั้งคนที่ถอดใจยอมแพ้ในความเขี้ยวรากดินของภูเขา ซึ่งในหนังจะมีพายุหิมะซึ่งแรงมากๆ แม้ว่ามนุษย์จะสามารถพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกนี้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้นะครับ สำหรับผมแล้ว มันคือการชนะใจตัวเองต่างหากละ ผมได้คำตอบที่ผมตามหาแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงต้องทำเช่นนี้

ในหนังเล่าไปว่าเมื่อถึงจุดท้ายๆของเทือกเขาแล้ว จะเป็นช่วงที่อันตรายมากๆซึ่งจุดนี้เรียกว่า”Death zone” คือจุดที่ออกซิเจนในอากาศเหลือเพียง 33%! Doug Hansen นักปีนเขาคนหนึ่งในเรื่องที่มาถึงเขต Deah zone เขาปีนเขามาได้ถึงช้ากว่าคนอื่น ต่อมาเมื่อพวกคณะปีนเขาที่ลงเขาได้มาเห็นเขาในระหว่างทาง ก็กำลังจะพา Doug Hansen กลับลงเขาเพราะว่าถ้าอยู่นานจะยิ่งเป็นอันตราย แต่ทว่า Doug Hansen ได้พูดมาประโยคหนึ่งซึ่งทำให้ผมประทับใจมากๆ
“ It’s out there = มันอยู่ตรงนั้น


วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

หลักกฎหมาย(หนี้): ทรัพย์เฉพาะสิ่ง/การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย

หมายเหตุ*สรุปอันนี้ใช้เป็นหลักที่อธิบายแล้วเข้าใจง่ายๆเนืองจากระยะเวลาที่จำกัดจึงทำให้สรุปอันนี้ค่อนข้างที่จะมีเนื้อหาไม่เยอะเท่าไรเพราะเอามาแต่หลักที่สำคัญๆ ดังนั้นให้อ่านหนังสือประกอบด้วยนะครับ หรือถ้าอ่านหนังสือแล้ว งง ก็กลับมาอ่านสรุปอันนี้ก็ได้ สรุปอันนี้มีเพียงพื้นฐานเบื้องต้น(เพราะน้องเพิ่งเรียนอะกลัวยังไม่รู้เรื่อง)หัวข้อ 1.ทรัพย์เฉพาะสิ่ง 2.การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย

วัตถุแห่งหนี้-สิ่งที่ลูกหนี้จะต้องดำเนินการในการปฎิบัติการชำระหนี้/การชำระหนี้อันเป็นเนื้อหาของหนี้
มี3อย่าง(ไปอ่านเอาในหนังสือนะ)
ดูตัวบทมาตรา 195 ทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้ .ให้เข้าใจว่ามันคือทรัพย์ที่ลูกหนี้มีหน้าที่ที่ต้องส่งมอบแก่เจ้าหนี้นะไม่ต้องสับสนกับตัวบท ต่อมาให้เราเข้าใจคำว่า ทรัพย์เฉพาะสิ่งก่อนนะ
ทรัพย์เฉพาะสิ่งนี่สำคัญนะเพราะว่ามันมีความรับผิดของล/น จ/น แตกต่างกันถ้าเกิดกรณีทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งหนี้ได้พ้นวิสัยไป ยังไงเดี๋ยวบอกอีกทีนะ ทรัพย์เฉพาะสิ่งคือทรัพย์ที่วัตถุแห่งหนี้นั้นได้ระบุไว้ว่าให้ชำระหนี้ด้วยทรัพย์นั้นโดยเฉพาะเจาะจง แล้วทำไงถึงจะเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งละ?
1.ดูมาตรา 195 ว.2นะมีคีย์เวิร์ดไว้อยู่คือ..ถ้าลูกหนี้ได้กระทำการอันตนจะพึงต้องทำ เพื่อส่งมอบทรัพย์สิ่ง นั้นทุกประการแล้วก็ดี หมายความว่าลูกหนี้(คนขาย)ที่ทำทุกขั้นตอนในการชำระหนี้แล้ว เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายที่จะต้องทำ เช่น A ซื้อไม้สักจาก B โดย Aได้ลือกไม้สักเรียบร้อยและBได้จัดการขนไม้ขึ้นรถของAเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่าไม้ได้กลายสภาพเป็นทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งการชำระหนี้(ทรัพย์เฉพาะสิ่ง)เรียบร้อยแล้ว
2.เช่นกัน คำว่า หรือถ้าลูกหนี้ได้เลือกกำหนดทรัพย์ที่จะส่งมอบ แล้วด้วยความยินยอมของเจ้าหนี้ก็ดี หมายความว่าAขายหมูปิ้งอยู่ จากนั้น B มาซื้อ และ B ได้ทำการเลือกหมูปิ้งไม้ที่มีมันหมูติดนิดๆ จากนั้นAก็ใส่ถุงให้ B นั่นแหละทรัพย์เฉพาะสิ่ง
การแยกแยะว่าอันไหนเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง.ให้ดูม.460 ว.2ประกอบนะ จะคล้ายๆกันเลย  นะ..ในการซื้อขายทรัพย์สินเฉพาะสิ่ง ถ้าผู้ขายยังจะต้องนับ ชั่ง ตวง วัดหรือทำการอย่างอื่น หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดอันเกี่ยวแก่ทรัพย์สิน เพื่อให้รู้กำหนดราคาทรัพย์สินนั้นแน่นอน ท่านว่ากรรมสิทธิ์ยังไม่โอน ไปยังผู้ซื้อจนกว่าการหรือสิ่งนั้นได้ทำแล้ว


ผลของการเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง ให้ดู ม.370 คีย์เวิร์ดอยู่ที่คำว่าทรัพย์นั้นสูญหรือ เสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษลูกหนี้มิได้ไซร้ ท่านว่าการสูญหรือเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ หมายความว่าถ้าทรัพย์เฉพาะสิ่งนั้นสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะโทษลูกหนี้ไม่ได้ ความเสียหายตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้(ซวยเลย)ยกตัวอย่างเช่น พี่ไปเดินเซฟวันแวะเข้าร้านเสื้อร้านนึง เสื้อเยอะมาก จากนั้นพี่หยิบเสื้อมาตัวนึงแล้วบอกน้องแตงโมหัวล้านที่เป็นเจ้าของร้านแล้วพูดว่าผมเอาตัวนี้ นั่นหมายความว่าพี่ได้กำหนดตัวทรัพย์โดยเฉพาะเจาะจงแล้วว่าจะเอาเสื้อตัวนี้ส่งผลให้เสื้อตัวนี้เป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งเรียบร้อยแล้ว ต่อมา...ลมพัดแรงมาก เสื้อที่พี่ซื้อไว้หลุดมือไปตกบ่อโคลนตม พี่เลยบอกเจ้าของร้านว่า เสื้อเละหมดแล้วจะเอาตัวใหม่ครับและผมจะไม่จ่ายตัง  ผลคือพี่ไม่สามารถทำได้เพราะความเสียหายนั้นเกิดขึ้นโดยที่จะโทษลูกหนี้(เจ้าของร้านไม่ได้) ความเสียหายจึงตกเป็นพับแก่พี่ หมายความว่าพี่ต้องเอาเสื้อตัวนั้นไปซักและจะต้องจ่ายเงินให้เจ้าของร้าน จะไปมาตอแหลเอาเสื้อตัวใหม่ไม่ได้
*ตรงกันข้ามกันสมมุติพี่เพียงแต่เดินเข้าไปในร้านแล้วพี่ยังไม่ได้ทันทำอะไรเลย ลมพัดเสื้อในร้านตกบ่อโคลนไป พี่ก็เลือกตัวใหม่ได้สบาย เพราะยังไม่เป็นทรัพย์เฉพาะสิง
หมายเหตุ* กรณีดังกล่าวที่ยกมานั้นจะสังเกตว่าลูกหนี้คือเจ้าของร้านจะได้รับเงินค่าเสื้อเพราะว่าความเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้คือผู้ซื้อไปแล้ว มาตรา 370 นั้นใช้เฉพาะหนี้ในสัญญาต่างตอบแทนที่มีวัตถุประสงค์ในการโอนกรรมสิทธิเท่านั้น แต่ถ้าไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการโอนกรรมสิทธิละ ไม่ต้องสงสัยก็ไปบังคับตาม ม.372 นะ ดูตัวบทประกอบ หลักของ ม.372 คือเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการโอนกรรมสิทธิ์ หลักคือดูว่าการสูญหรือเสียหายนั้นเป็นพฤติการณ์ที่โทษลูกหนี้ได้ไหม เช่น ลูกหนี้รับจ้างทาสีบ้านราคาค่าจ้าง 30000 ก่อนจะถึงกำหนดที่ลูกหนี้จะต้องมาทาสีบ้าน 3วัน ไฟไหม้ลุกลามมาจากปากซอยและได้ไหม้บ้านหลังดังกล่าว การชำระหนี้ของลูกหนี้คือการทาสีบ้านก็จะทำไม่ได้ แล้วถามว่าลูกหนี้จะได้รับค่าจ้างในการทาสีไหม คำตอบแบบชาวบ้านๆคือไม่ได้แน่นอนเพราะลูกหนี้ไม่ได้ทำอะไรเลยจะได้เงินค่าจ้างได้อย่างไร แต่เราเป็นนักกฎหมายต้องตอบแบบเท่ๆว่าเพราะเป็นกรณีที่การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยที่จะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ลูกหนี้ไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตอบแทน ม.372 ว.2หมายความง่ายๆว่าลูกหนี้ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างนั่นเอง ***แต่ถ้าการที่ไฟไหม้บ้านนั้นเป็นความผิดของเจ้าของบ้าน(เจ้าหนี้)นั่นหมายความว่าจะเข้ามาตรา372 ว.2ทันทีคือการชำระหนี้(การที่ลูกหนี้ต้องทาสีบ้าน)ตกเป็นพ้นวิสัย(ก็ไม่มีบ้านให้ลูกหนี้ทาสีแล้ว)เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะ โทษเจ้าหนี้ได้ ลูกหนี้ก็หาเสียสิทธิที่จะรับชำระหนี้ตอบแทนไม่ หมายความว่าลูกหนี้แม้จะยังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็มีสิทธิได้รับค่าจ้างอยู่นั่นเอง


อธิบายหลักมาตรา 202(สมัยพี่เรียน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่โง่มากๆ55) กรณีการชำระหนี้มีหลายอย่างและบางอย่างเป็นพ้นวิสัย แยกพิจารณาได้ดังนี้
1.คำในตัวบทเป็นอันพ้นวิสัยจะทำได้มาแต่ต้นก็ดี หมายความว่าการชำระหนี้บางอย่างได้ตกเป็นอันพ้นวิสัยมาแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะทำนิติกรรมแล้ว เช่นนี้การชำระหนี้ส่วนนั้น แม้จะมีการตกลงกันก็ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 150 แล้ว ดังนั้นจึงจำกัดการชำระหนี้อย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัยเท่านั้น
เช่น แดงทราบว่าต้อยมีลูกสุนัข 3ตัวคือ สีดำ สีขาว สีด่าง แดงพบต้อยที่ตลาดจึงตกลงขอซื้อลูกสุนัขตัวหนึ่ง ต้อยตกลงขายให้แดงโดยให้แดงเลือกตัวใดก็ได้ ในขณะนั้นสุนัขตัวสีขาวที่อยู่บ้านได้ตายก่อนแล้ว โดยที่ทั้งสองคนก็ไม่ทราบ เช่นนี้สัญญาส่วนที่ตกมาถึงลูกสุนัขสีขาวจึงเป็นโมฆะ แดงสามารถเลือกได้เพียง 2ตัวที่ยังไม่ตายเท่านั้น
2.คำในตัวบท หรือกลายเป็นพ้นวิสัยในภายหลังก็ดี หมายถึงหลังจากที่ได้ก่อหนี้กัน การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยในภายหลัง แต่ต้องก่อนที่ผู้มีสิทธิเลือกจะใช้สิทธิเลือก เพราะถ้าใช้สิทธิเลือกแล้วจะถือเป็นการชำระหนี้อันกำหนดให้กระทำตั้งแต่ต้นมา(มาตรา199 ว.2 ผลของการเลือก)หมายความว่า เมื่อได้เลือกแล้วทรัพย์นั้นจะเป็นวัตถุแห่งการชำระหนี้มาตั้งแต่ต้น
เช่น A ซื้อสุนัขจาก B โดยBมีสนัข2ตัวคือสีแดงกับสีเขียว A เป็นคนเลือกได้เลือกสุนัขตัวสีเขียว อีก2 เดือนจะมาเอา ดังนั้น A จะเปลี่ยนไปเอาสุนัขตัวสีแดงอีกไม่ได้เพราะเมื่อเลือกแล้วเท่ากับว่ามีการตกลงซื้อขายสุนัขตัวสีเขียวมาตั้งแต่ต้น สมมุติขยายข้อเท็จจริงไปว่า ในระหว่างนั้น สุนัขตัวสีขาวตายเพราะเกิดโรคระบาดแถวๆนั้น(โทษลูกหนี้คือBคนขายไม่ได้) ดังนี้ต้องปรับเข้า 370 คือความเสียหายย่อมตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ ผลคือเจ้าหนี้คือAคนซื้อจะต้องจ่ายเงินค่าสุนัขแก่ B .
ประเด็นต่อมา.Aจะให้Bส่งมอบสุนัขตัวสีแดงที่ยังไม่ตายไม่ได้เพราะ การชำระหนี้ตกเป็นอันพ้นวิสัยโดยโทษลูกหนี้ไม่ได้ ลูกหนี้หลุดพ้นจากการชำระหนี้ ม.219ว 1= Bจึงไม่ต้องส่งมอบสุนัขตัวสีแดงที่ยังไม่ตายให้ A
แต่ถ้าเปลี่ยนข้อเท็จจริงว่า สุนัขตัวสีขาวนั้นตายเพราะความประมาทของ B เอง ก็ปรับเข้า 218ว.1 นะครับคือ B จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับ A
แยกแยะความต่างของมาตรา 202 – 219 ให้ออกนะครับ ต่างกันตรงที่ว่า เลือกหรือยังไม่เลือก


ต่อเลยนะ ก่อนที่ผู้มีสิทธิเลือก(ใครจะเป็นผู้มีสิทธิเลือกจ/น หรือ ล/น แล้วแต่จะตกลงกัน มาตรา199 ว.1)ใช้สิทธิเลือกสามารถแบ่งได้เป็น 2กรณี ดูมาตรา 202 ประกอบนะ
1.กรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยที่ฝ่ายไม่มีสิทธิเลือกไม่ต้องรับผิดชอบ กรณีนี้จะจำกัดเหลือเพียงการชำระหนี้อย่างอื่นที่ไม่พ้นวิสัย ม.202 ตอนแรก
เช่น A ตกลงซื้อสุนัขจาก B ที่มีอยู่ 3ตัวคือ สีแดง สีดำ สีขาว โดยตกลงกันให้ A ฝ่ายผู้ซื้อเป็นคนเลือก ว่าจะเลือกตัวสีไหน ปรากฏว่าก่อนที่ A จะเลือก สุนัขตัวสีขาวถูกรถชนตาย เช่นนี้การชำระหนี้จึงจำกัดเฉพาะลูกสุนัข2ตัวที่เหลือเท่านั้น A จะไปเลือกตัวสีขาวที่ถูกรถขนตายไม่ได้(Bฝ่ายที่ไม่มีสิทธิเลือกไม่ต้องรับผิดชอบคือรถชนตาย โดยไม่ใช่ความผิดB)
2.กรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยที่ฝ่ายไม่มีสิทธิเลือกต้องรับผิดชอบ ผลคือกรณีนี้ฝ่ายที่มีสิทธิเลือกก็ไม่ถูกจำกัดการให้ต้องเลือกในส่วนที่เป็นวิสัยเท่านั้น พูดง่ายๆคือฝ่ายที่มีสิทธิเลือกสามารถเลือกตัวที่ตายได้ตามตัวอย่างข้างต้น ถ้าสุนัขตัวสีขาวนั้นได้ตายเพราะB เจ้าของได้ประมาทเผลอเอายาฆ่าแมลงผสมอาหารให้สุนัขตัวสีขาว ผลคือ Aไม่ถูกจำกัดให้ต้องเลือกส่วนที่เป็นวิสัยตามข้อ1(คือพวกสุนัขที่ยังไม่ตาย) ดังนี้ถ้า A เลือกสุนัขตัวสีขาวซึ่งตายไปแล้ว(พ้นวิสัย) น้องๆไม่ต้อง งง นะ ว่ามันจะเลือกตัวที่ตายทำไมเหตุผลคือ..มันได้ตังค์ เมื่อB ลูกหนี้ไม่สามารถนำสุนัขตัวสีขาวมาชำระหนี้ได้ เป็นกรณีที่การชำระหนี้โดยตรงไม่สามารถบังคับได้เราก็ปรับเข้ามาตรา 218 ว.1 เลย คือ B จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับ A ในกรณีที่ A เลือกสุนัขตัวสีขาวที่ตายไปแล้ว
ข้อสังเกตตามข้อ2 คือ A สามารถเลือกได้2ทางเลยคือ
1.Aมีสิทธิเลือกตัวให้ B ส่งมอบสุนัข 2ตัวที่ยังไม่ตายก็ได้หรือ
2.Aจะเลือกให้ B ส่งมอบสุนัขตัวที่ตายไปแล้วก็ได้โดยนำมาตรา 218 ว.1 มาจับ



เรื่องสั้น:ชายอ้วน

เรื่องสั้น ชายอ้วนผู้เฝ้ามองดูความหลากเลื่อนของศีลธรรมอย่างลุ่มลึก
ห้วงเวลาที่พระอาทิตย์ขยับขึ้นทอแสงมาสุดตา ในส่วนหนึ่งของพื้นที่โลกในห้องกรอบสี่เหลี่ยมแคบๆห้องหนึ่ง ตะวันทอแสงจางๆเข้ามาผ่านช่องหน้าต่างสีเทาเพื่อมาเตือนให้ทราบถึงช่วงเวลาของการเปิดเปลือกตาแล้วเดินเข้าไปสู่ห้วงเวลาของวันใหม่ ข้างๆเตียงยังคงมีเศษเส้นมาม่าตกอยู่บริเวณรอบๆ ตู้เสื้อผ้ามีร่องรอยของการเปิดทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี หยากไหย่ยังคงปะติดปะต่อกับพื้นผนังอย่างไม่สู้ดีนักและเต็มไปด้วยความกังวลใจอย่างถึงที่สุดของชายที่มีรูปร่างอวบอ้วน ผู้มีใบหน้าเต็มไปด้วยสิวเขลอะที่ยังนอนจมกองหนังสือหลังจากที่เขาอ่านหนังสือเตรียมสอบในช่วงดึกของเมื่อคืน สุดท้ายเมื่อเขาทนต่อแสงแดดที่ส่องเข้ามาถึงเรตินาอย่างถึงที่สุดแล้ว เขาก็เผยอตัวขึ้นจากเตียงผ่านกลิ่นปากที่มาจากการหาวสองสามครั้งของเขา สิ่งแรกที่ชายอ้วนคิดขึ้นมาก่อนที่เขาจะไปลุกขึ้นไปทำความสะอาดเศษขี้ฟันที่มาจากการเคี้ยวอาหารมาทั้งวันของเมื่อวานคือหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนานิกายเซน(Zen)ที่เขาได้อ่านเมื่อดึกดื่นที่ผ่านมา  นิกายเซนเป็นนิกายในศาสนาพุทธที่ได้รับการนับถือกันมากในประเทศญี่ปุ่นโดยเน้นถึงการแสวงหาความจริงจากการนั่งสมาธิเป็นหลัก หนึ่งในคำสอนของนิกายเซนคือการนอนหลับ เราจะต้องนอนหลับให้เปรียบเสมือนกับเรานั้นได้ตายไปแล้ว ปล่อยจิต ปลงทุกอย่าง ประมาณว่าใช้ชีวิตเหมือนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ส่วนวันพรุ่งนี้ที่ตื่นมาให้ถือว่าเป็นโบนัส เพราะฉะนั้นจงรับโบนัสนี้แล้วจงใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุดในแต่ละวัน แต่ทว่าชายอ้วนผู้นี้ยังคงปล่อยให้จิตใจหลับสบายเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายซะอย่างดิบดี เพราะช่วงเวลาที่เขาตื่นขึ้นมานั้นเป็นเวลาเกือบๆเที่ยง เขาได้แต่เพียงฝันถึงหน้าของเด็กสาวร่วมห้องที่เขาแอบชอบ คิดถึงใบหน้าอันผอมบางเรียวงามของอาจารย์สอนฟิสิกส์ที่สุดสวยและถือว่าเป็นอาจารย์ที่มีเสน่ห์คนหนึ่งของโรงเรียน ใช่แล้ววันนี้เป็นการขาดเรียนครั้งแรกของชายอ้วนที่ไม่เคยขาดเรียนเลยแม้แต่สักครั้งเดียว โดยภวังค์จิตใจที่ดูบอบบางผิดกับลักษณะทางกายภาพของชายอ้วนผู้นั้น เขาเป็นคนที่อ่อนโยน ไม่ยึดติดกับวัตถุในโลกของทุนนิยมมากนัก ชอบแต่งกายด้วยชุดที่ราบเรียบไม่เป็นจุดสนใจมากนัก อิทธิพลนี้มาจากการที่เขาไม่ค่อยสันทัดกับการผลิตซ้ำมายาคติของสังคมว่าด้วยการเสพสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาภายใต้การครอบงำของวัตถุนิยมสักเท่าไรนัก เขาชอบมองโลกในแง่ดี รวมถึงยังชอบค้นหาสิ่งต่างๆที่คนส่วนมากเขาไม่ขวานขวายอยากรู้ เขาเป็นคนชื่นชอบนักปรัชญาในสมัยคลาสสิก หรือในสมัยหลังยุคเฟื่องฟูศิลปวิทยา(Renaissance)  เขาสนใจศึกษาเกี่ยวกับมานุษยวิทยาเป็นงานอดิเรกอย่างยิ่ง เมื่อเรามองดูภาพรวมกว้างๆแล้วเขาก็ไม่ต่างจากชายอ้วนผู้คงแก่เรียนใส่แว่นหนาเตอะ ที่เตรียมสอบเข้ามหาลัยดังๆในปีหน้านี้แล้ว เขาเป็นเฉกเช่นปุถุชนคนทั่วๆไปที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสังคมกลมๆแห่งนี้เหมือนกับทุกคน แต่คงไม่มีใครรู้หรอกว่าไม่มีอะไรที่ยั่งยืนพรั่นพรึงเท่ากับการที่เราไม่รู้ถึงจิตใจที่คว้านลึกอยู่ข้างในของตัวมันเอง ในใจลึกๆแล้วเขากำลังสับสนกับความคิดหลายๆอย่างของเขา
ชายอ้วนผู้มีสำนึกของการเป็นนักอ่านตัวยง ไม่ครุ่นคิดอะไรต่อไปอีก หลังจากที่เขาตื่นสายจนไปเรียนไม่ทัน พลันนั้นไม่เป็นเรื่องแปลกอะไรเลยหากเขามีเจตจำนงที่จะหยิบหนังสือขึ้นสักเล่มขึ้นมาอ่านเพื่อให้สำนึกในตัวเองกระชุ่มกระชวยไปด้วยโลกของหนังสือที่มีแต่เขาเท่านั้นที่มีความสุขอยู่ในวังวันของสมาธิ การอ่านทำให้เขาลุ่มหลงอยู่ในโลกของเขาเองเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นชายที่ไม่เคยมีความรักจากหญิงสาวคนใดมานับตั้งแต่เขาอยู่ชั้นประถม เขายังจำจูบแรกของเขาได้เสมอ เด็กหญิงผู้ที่เป็นรักแรกของเขานั้นอยู่บ้านข้างๆเขานั่นเอง ความใกล้ชิดกันทำให้เกิดความรักแบบเด็กๆจนได้ หลังจากนั้นมานับตั้งแต่บัดนี้ เขาไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนจริงจังเลยสักครั้ง หากให้เขาเลือกระหว่างหนังสือและผู้หญิง เขาไม่ลังเลที่จะเลือกหนังสือเลย เขารักการอ่านมากและไม่คิดว่าความรักนั้นจะมีเฉพาะความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น โลกนี้ไม่สามารถขาดความรักได้และความรักถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการใช้ชีวิตของมนุษย์ เราอาจะกล่าวเชิงเปรียบเทียบได้ว่าความเค็มของน้ำทะเลยังคงอัตลักษณ์ของตัวเองไว้อย่างทะนงตัว เฉกเช่นมนุษย์ที่ไม่สามารถขาดความรักได้ แม้ว่าเราจะผิดหวังกับมันสักแค่ไหน แต่เราก็ยังชอบความรักอยู่ดีและไม่สามารถปฎิเสธได้ว่าเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่มีความรัก ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ความรักยังเกิดขึ้นกับเราเสมอในทุกๆเช้าที่เราตื่นขึ้นมา
ปกติแล้วเขาไม่ชอบอ่านหนังสือในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆของของตัวเองมากนัก นั่นอาจเพราะเขาไม่สามารถที่จะพรรณาถึงการเสพเนื้อหาภายในหนังสือที่เกิดจากห้องแคบๆได้เท่าไรนัก หลังจากเขาอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย จุดมุ่งหมายของเขาคือห้องสมุดของมหาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของเขานัก มหาลัยดังกล่าวนั้นเปิดให้บุคคลทั่วๆไปสามารถเข้ามานั่งอ่านหนังสือได้ ชายอ้วนผู้นั้นจึงชอบบรรยากาศความเงียบ รวมทั้งแอร์เย็นๆดุจนั่งอยู่ที่สายธารของแม่น้ำที่เต็มไปด้วยความเย็นของธรรมชาติ ห้องสมุดดังกล่าวจึงเป็นสถานที่ประจำของเขาในวันหยุด เขาก็มักที่จะมาทำงานหรือมาอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแห่งนี้เป็นประจำอย่างไม่ต้องสงสัย เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาจากกระเป๋าสะพายสีดำวับที่พ่อเขาซื้อให้เมื่อปีที่หลังจากผลการเรียนเป็นที่น่าพอใจและจากการที่เขาไปประกวดกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อเพศและศิลปะร่วมสมัย นั่นถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำสำหรับเขาทีเดียว
เขามุ่งที่เรียนต่อคณะอักษรศาสตร์ภาควิชาปรัชญาของมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ทำให้เขาไม่ลังเลที่จะเลือกอ่านหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาของโลกตะวันตกที่เขาชื่นชอบ ระหว่างอ่านหนังสือ ชายอ้วนอารมณ์เสียพลางกับคิดในใจว่าหลายๆคนคงไม่คิดว่าตอนที่เราอยู่อนุบาลเราทุกคนต้องอ่านหนังสือร่วมกัน อ่านออกเสียงดังๆพร้อมกัน แต่คงไม่มีใครออกเสียงดังในห้องสมุดอย่างแน่นอนเพราะเขาคงต้อนรับคุณอย่างไม่อบอุ่นเป็นแน่แท้ นั่นเป็นเพราะว่าโต๊ะข้างๆเขาพูดเสียงดังรบกวนเขามากๆทั้งๆที่โดยปกติแล้วห้องสมุดแห่งนี้มักจะไม่ค่อยมีการกระทำที่ไร้มารยาทเช่นนี้บ่อยครั้งนัก บางครั้งเขาก็จะมองถึงภาวะที่คนเห็นแก่ตัวนี้ดำรงอยู่เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับสังคมสมัยนี้เขาคงทำได้แค่หลีกลี้หนีไปให้ห่างๆเท่านั้น บ่อยครั้งที่เขาเหลือบมองไปที่สันหนังสือแคบๆที่ชั้นปรัชญาแล้วเจอหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาของศาสนาพุทธ เขาลองหยิบมันขึ้นมาอ่านแล้วครุ่นคิดต่อไป ถ้าจะว่ากันด้วยเรื่องศาสนา ชายอ้วนผู้นี้เป็นพวก irreligion หรือเป็นภาวะที่ไม่มีศาสนา ถึงชายคนนี้จะไม่มีศาสนาแต่เขาไม่เป็นปรปักษ์กับศาสนาใดทั้งสิ้นเพราะเขามองว่าทุกศาสนานั้นล้วนแต่มีเหตุผลของการดำรงอยู่ทั้งสิ้น กล่าวคือในเรื่องของศาสนานั้นเกิดจากกระบวนการสร้างทางประวัติศาสตร์มันไม่ได้เกิดโดยความบังเอิญอย่างแนวทางวิทยาศาสตร์ในบางเรื่อง ที่สำคัญทุกศาสนาล้วนสร้างให้มนุษย์ทุกคนดี เราอาจกล่าวได้ว่าศาสนานั้นเป็นหนึ่งในโซ่ตรวนที่ใช้คอนโทรลสังคมในแกนหลักคือบรรทัดฐานของสังคม นั่นนับเป็นเหตุผลที่ดีทีเดียวของการดำรงอยู่ของศาสนา ชายอ้วนนั้นได้รับปรัชญาของนิทเช่ นักปรัชญาชาวเยอรมันในศตวรรษที่ 19 ไปเต็มๆ จากการที่เขาสงสัยในความจริง สงสัยในความเป็นไปของโลก หากมีคนบอกโลกหมุน แล้วใครกันเล่าที่เป็นคนหมุน? ตอนนี้ชายอ้วนกำลังใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ในการวิเคราะห์ ตกผลึกจากการอ่านหนังสือปรัชญากองโตของเขาเอง เขากำลังต่อสู้ถึงความคิดของเขา การเริ่มสงสัยในการเป็นไปของสังคม เขาเริ่มกระสันที่จะค้นหามันแล้ว ในการที่เขาได้ซึมซับศาสนาพุทธมาตั้งแต่วัยเยาว์จากครอบครัวเขา โดยครอบครัวของชายอ้วนนั้นเป็นพุทธศาสนิกชนโดยเนื้อแท้ โดยทำหน้าที่เป็นพุทธศาสนิกชนไม่ขาด ไปปฏิบัติธรรมทุกๆวันสำคัญ ทำบุญตักบาตรทุกเช้า เขาจึงขอใช้เวลาครุ่นคิดในเรื่องความเป็นไปในการขับเคลื่อนสังคมโดยใช้กรอบของศาสนาพุธที่เขารู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีมาเป็นแกนคิด ในระหว่างที่เขาไม่ได้ไปโรงเรียนและใช้เวลานั่งบนเก้าอี้อันอ่อนนุ่มละมุนละไมภายในห้องสมุด


จากแนวคิดเรื่องการเหน็บแหนมทางศีลธรรมของประเทศไทยโดยเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านคือญี่ปุ่นนั้นกล่าวว่าประเทศไทยนั้นมีการจำกัดกรอบในการดำรงชีวิตของปัจเจกในสังคมโดยมีการควบคุมในด้านต่างๆเช่น ระบบของการเซนเซอร์ การจำกัดอายุของผู้ชมหนังระดับเรท  โดยการควบคุมนั้นค่อนข้างกว้างขวาง ซึ่งลองมาเปรียบเทียบกับของประเทศญี่ปุ่นนั้น โดยประเทศญี่ปุ่นมีการนำเสนอภาพรวมทางด้านเพศเปิดเสรีมากๆ อนึ่งที่เอาเรื่องเพศมาเกี่ยวข้องด้วยนั้นเหตุผลคือเพศกับศีลธรรมนั้นเป็นของคู่กัน เหมือนกับโลกคู่ขนาน โดยปัญหาเรื่องเพศนั้นมักจะแสดงออกด้วยการกระทำผิดศีลธรรมด้วยเสมอๆเช่น การเกิดคดีข่มขืน การค้าประเวณี มักจะเป็นคำถามอยู่เสมอว่าประเทศไทยนั้นจำกัดเรื่องศีลธรรมอย่างมากมาย แต่ญี่ปุ่นนั้นเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเปิดกว้างดูจากการที่มีระบบหนังAv(หนังผู้ใหญ่) โดยที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่การเกิดอาชญากรรมทางเพศของประเทศไทยกลับมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ผิดกับประเทศญี่ปุ่น การปฏิรูปสื่อให้ปลอดภัยจากเนื้อหาที่สะท้อนค่านิยมทางเพศที่ไม่ถูกต้องหรือฉากข่มขืนภายในสื่อรูปแบบต่างๆนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีเท่าที่ควรเป็น ชายอ้วนครุ่นคิดอย่างตื่นตระหนกถึงเรื่องศีลธรรมในสังคมไทย
หลังจากที่ชายอ้วนนั่งจิบกาแฟผสมผสานกับมองไปนอกหน้าต่าง จ้องมองต้นไม้ที่อยู่ข้างๆที่เขาอ่าน ใบไม้ของต้นฉำฉาต้นใหญ่พัดตามสายลมอย่างเป็นมิตร เมื่อเหม่อมองดูแล้วสัมผัสถึงความสงบ ชายอ้วนผ่อนคลายอิริยาบทแล้วจับหน้าผากตัวเองพลางคิดว่า เรานั้นอยู่ในโลกของป่าคอนกรีตเป็นป่าของการแย่งชิงเศษกระดาษ ป่าที่ผู้คนต่างบรรจงประณีตที่จะแกะสลักเปลือกหน้าอันจอมปลอมเพื่อเอาไว้แสร้งใส่กันเช่นนั้นหรือ ชายอ้วนไม่แปลกใจที่ผู้คนส่วนมากหลงใหลกับกิเลสอันโสมมจนไม่สามารถแยกแยะถึงความเป็นมนุษย์ได้ถึงเพียงนี้ กระแสธาราความคิดก็จับเจ่าอยู่กับเรื่องศีลธรรมอันเป็นกระบวนการขับเคลื่อนในสังคม ภายในประเทศไทยที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ประเทศไทยของเรานั้นล้วนมีกระบวนการสร้างชาติในหลายๆกรอบแนวคิดในการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ การปลูกฝังศีลธรรมลงไปในนั้นก็เป็นหนึ่งในกระบวนการพัฒนาศีลธรรมของประเทศไทยอย่างแยกกันไม่ออก การปลูกฝังศีลธรรมนั้นแสดงออกมาในรูปของการศึกษา โดยในระดับชั้นประถมมีการศึกษาวิชาวิชาศาสนา สังคมและวัฒนธรรมมาตั้งแต่ต้น หากจะพูดง่ายๆคือศีล 5 นั้นเราสามารถท่องได้เสียกระทั่งตอนอยู่ชั้นประถมเลยก็ว่าได้
หากจะกล่าวถึงวัฒนธรรมของสังคมไทยในการคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมหรือความเชื่ออันเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงกระทำ ชายอ้วนเผยอปากแล้วเตือนว่าคุณอย่าลืมนะครับว่ามนุษย์ในสมัยยุคกลาง ค.ศ.ที่5-15 ซึ่งอยู่ในยุคที่มนุษย์นั้นมีความคับแคบทางความคิด มนุษย์ไม่สามารถที่จะโงหัวทางความคิดได้เนื่องเพราะสมัยนั้นเริ่มจากยุคของการไร้ผู้นำมาปกครอง มนุษย์ทำอะไรไม่เป็น ศาสนาจึงมีความสัมพันธ์ในลักษณะที่โอบอุ้มหรือเข้ามาครอบงำสังคมในด้านต่างๆ เราจึงสามารถมองได้ว่า มนุษย์นั้นเมื่อตัวเองไม่สามารถที่จะมีความสามารถทำอะไรได้จึงต้องพึ่งสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่เสมอๆ หรืออย่างเช่นการบูชาไฟ การบูชาพระอาทิตย์ หรือแม้แต่การบูชาโยนี(อวัยวะเพศหญิง) ในสมัยเมโสโปเตเมีย วัฒนธรรม ศีลธรรม หรือในเรื่องศาสนาจึงไม่สามารถหลีกหนีจากชุดความคิดที่ว่า เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นโดยมีจุดประสงค์คือเพื่อคุ้มครองตัวเองจากในโลกนี้หรือในโลกหน้า อันเป็นผลมาจากที่ศีลธรรมนั้นมีหลายระดับโดยพิเคราะห์จากระดับของปัจเจกในแต่ละระดับ คนบางระดับนั้นเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นการนิยมไหว้พระในระดับเกจิดังๆ การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การเฉลิมฉลองในพิธีต่างเพื่อเป็นสิริมงคลในการกิจการต่างๆ บ้างก็ทำบุญอธิษฐานหากโลกหน้ามีจริง บุญจะส่งผลให้ร่ำรวยเจริญงอกงามในชาตินี้และมีความสุขในชาติหน้า ตายไปได้เกิดในภพภูมิที่ดี ชายอ้วนถึงกับนั่งทำหน้างงๆแล้วบรรจงเอามือขวาข้างที่ตนถนัดก่ายหน้าผากอย่างงุนงวยอีกครั้ง พลางย้ำคิดย้ำถามกับตัวเองว่า สิ่งเหล่านี้คือศีลธรรม อย่างนั้นหรือ แต่ถึงกระนั้น นั่นก็เป็นการทำความดีมิใช่หรอกหรือ ซึ่งนั่นก็คือMorality หรือศีลธรรมมิใช่หรือ ศีลธรรมนั้นคือสิ่งที่ดีงามที่แสดงออกมาทั้งภายนอกผ่านการกระทำทางกายภาพหรือความดีงามที่อยู่ในจิตใจของตนเองการมีศีลในจิตใจของตนทำให้เกิดสำนึกในการเป็นคนดีเป็นที่ยอมรับของตนเองหรือผู้อื่น โดยมีแกนกลางคือคือบุญ อันก่อให้เกิดแรงดึงดูดที่ทำให้เกิดสังคมที่สงบสุขได้ภายใต้สามัญสำนึกที่ดีงามของคนในสังคม ศีลธรรมแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีแล้วอย่างนั้นหรือ




ชายอ้วนครุ่นคิดต่อไปพลางเคี้ยวขนมกรุบกริบเหตุคือเขานั่งคิดในเรื่องนี้จนกระทั่งลืมเวลาไปเสียเลย เขาเหลือบไปเห็นบรรณารักษ์ของห้องสมุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่เคาน์เตอร์ใกล้ๆกับที่เขานั่งอยู่ บรรณารักษ์คนนั้นเป็นผู้หญิงวัยกลางคน ดูลักษณะท่าทางแล้วค่อนข้างมีนิสัยจู้จี้ ขี้บ่น และจริงจังเกินไป จนทำให้ชายอ้วนคนนั้นนึกถึงเมื่อเขาเป็นเด็ก เขาได้ไปเยี่ยมคุณป้าที่อยู่ต่างจังหวัด คุณป้ามีนิสัยค่อนข้างเจ้าระเบียบและหัวโบราณขัดกับนิสัยของเด็กวัย6ขวบอย่างเขามากโข มีช่วงนึงที่เขาปั่นจักรยานเล่นแถวๆนั้นจนกลับเมื่อหลังจากตะวันตกดินแล้วสักพัก นั่นทำให้เขาถูกคุณป้าดุจนร้องไห้งอแง ชายอ้วนเห็นบรรณารักษ์คนนั้นจึงจิตนาการว่าคงไม่ต่างจากคุณป้าจอมโหดของเขาสักเท่าไรนัก เขาไม่ต้องตัดสินใจอะไรให้มากนักเมื่อเห็นหน้าตาของบรรณารักษ์ที่อยากจะกลับบ้านเต็มแก่ในบริบทของพนักงานหาเช้ากินค่ำอย่างที่ทราบๆกัน ชายอ้วนจึงย่างเท้าออกไปจากห้องสมุดพร้อมกับตะวันพลาพลับหลังดิ่งจมลงนภาได้ไม่นาน บรรยากาศชวนสลัวขุ่นมัวในช่วงเย็นของมหาลัยแห่งนี้คราค่ำไปด้วยแสงสีเทาครึ้มต้อนรับพระจันทร์คราราตรีที่กำลังเดินทางผลัดยามทำหน้าที่แทนพระอาทิตย์  ที่พักของเขาอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยนัก ระหว่างทางที่เขาย่างเท้าเดินกลับบ้านนั้น เขาได้แวะไปซื้อข้าวกล่องไปนั่งกินระหว่างอ่านหนังสือแนวปรัชญาของเขาต่อ อันที่จริงแล้วที่แล้วเขาจะไม่ค่อยทานข้าวเย็นเสียเป็นส่วนมาก แต่เขามักจะออกมาซื้อของระบายลงท้องอันอ่อนนุ่มของเขาในช่วงดึกๆในตอนอ่านหนังสือที่กำลังถึงจุดไคล์แม็ก แต่วันนี้เป็นวันที่เขาใช้ความคิดมาตลอดทั้งวันเขาจึงเลือกที่จะทานข้าวเย็นเพื่อให้ท้องของเขาอิ่มเอมไปด้วยรสชาติเผ็ดร้อนของอาหาร ทำให้เกิดความแผ่ซ่านไปทุกอณูในการจรดขอบตาอันดำคล้ำของเขาอันจะทำให้เขาได้เสพรสชาติของตัวอักษรในหนังสือเล่มโปรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเขากลับมาถึงบ้านจวนเจียนจะเอนเอียงเพราะความอ่อนล้าทั้งตัว ชายอ้วนชอบใฝ่หาความรู้อยู่แทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ การฟัง หรือแม้แต่การเขียน ทักษะต่างๆทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอๆ เขาถ่อมตนในความรู้ของเขามาก โดยเขาเปรียบว่าความรู้ของเขาแม้ตัวเขาเองจะคิดว่ารู้เยอะมากเท่าไร แต่ในความเป็นจริงแล้วความรู้นั้นอาจเป็นเศษละอองน้ำในทะเลกว้างเสียก็ได้ เขาจึงค้นคว้าหาความรู้อย่างไม่มีคำว่าพอ สำหรับในยุคนี้การค้นหาความรู้นั้นทำได้ไม่อยาก เราสามารถสูบบุหรี่พร้อมกับการนั่งจิบกาแฟกดสมาร์ทโฟนเพื่อต้องการเสพความรู้ได้ในทันทีทันใด  หลังจากชายอ้วนทานข้าวเย็นเสร็จแล้ว เราก็งีบไปสักพักที่ฟูกนอนอันอ่อนนุ่ม อย่างทันทีทันใด

เขาสะดุ้งตื่นมาพร้อมกับเสียงปลุกเพลงTake me home ของ John denver ในเวลา 4ทุ่มอันเป็นเวลาอ่านหนังสือของเขา เขานั่งใคร่ครวญถึงความคิดเมื่อตอนกลางวันของเขา หากศีลธรรมนั้นคือสิ่งดีงามที่อยู่ภายในจิตใจผ่านการแสดงออกมาภายนอก ชายอ้วนคุ้นชินกับการวิเคราะห์อย่างพร่ำพรึงถึงความน่ากลัวในความดี เขาคิดว่าหากความดีกับศีลธรรมมันเป็นคนละเรื่องกันละ จะเป็นศีลธรรมได้หรือไม่ หากเราลองแยกความดีออกจากศีลธรรม ตัวอย่างง่ายๆจากหนังสือปรัชญาของอิมมานูเอล คานต์ นักปรัชญาสายโรแมนติค-นิยมที่เขาเพิ่งอ่านเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เช่น มีดเล่มนี้ดีก็ไม่ได้แปลว่ามีดเล่มนี้มีศีลธรรม แต่มีดใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกระทำของคนเราบางอย่างเช่น พ่อค้าซื่อสัตย์เพื่อต้องการให้ลูกค้าเชื่อถือ กิจการของตนจะได้มั่นคงแบบนี้ก็คือการทำดีในความหมายว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพอันมีผลจะทำให้กิจการของพ่อค้ามั่นคง มันก็คือการลงทุนแบบหนึ่ง ไม่ใช่ความดีทางศีลธรรมแต่อย่างใดเลย ความดีทางศีลธรรมนั้นสามารถอธิบายได้จากตัวอย่างข้างต้น ถ้าพ่อค้ารักษาความซื่อสัตย์ ก็คือว่าความซื่อสัตย์รักษาคุณค่าในตัวมันเอง และเป็นหน้าที่ที่ต้องรักษาความสื่อสัตย์โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ อย่างนี้ถือว่าเป็นความดีทางศีลธรรม ความดีไม่ใช่เครื่องมือไปสู่สิ่งอื่น ถ้าคุณทำดีเพื่อไปสวรรค์ เพื่อให้ได้สิ่งต่างๆที่คุณต้องการ ความดีที่คุณนิยามก็ไม่ต่างอะไรจากเครื่องมือ เช่นเงิน เราใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แต่ความดีทางศีลธรรมไม่ใช่เครื่องมือ เราทำความดีเพื่อความดี ไม่ใช่เพื่อนำไปสู่สิ่งอื่น ความดีมีคุณค่าในตัวมันเองอยู่แล้ว ชายอ้วนคงคิดต่อไปว่า หรือศีลธรรมนั้นเป็นเพียงการตีความ มันไม่จริง ไม่มีจริง หรือไม่ได้ถูกต้องไปกว่าระบบอื่นๆแต่พวกเรากลับถูกครอบงำให้ตกอยู่ภายใต้ระบบศีลธรรม อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่ชายอ้วนตะหนักถึงก็คือเราไม่ควรจะไปยึดติดในการค้นหาความจริงอย่างเคร่งครัดเกินไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหมุนเวียนอยู่ในโลกของมันเองเมื่อเวลาผ่านไป ความจริงทุกอย่างก็มักมีคำตอบใหม่ๆมาให้เราเสมอ อาจกล่าวได้ว่าไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์ใดๆมากำหนดให้มนุษย์เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งนอกจากตัวคนนั้นเลือกที่จะเป็นแบบนั้นเอง ชายอ้วนลุกขึ้นมากวาดเศษขยะแล้วยังคงอ่านหนังสือต่อไปอย่างเงียบๆ





เรื่องสั้น:ธเนศ

เรื่องสั้น  ธเนศ

หลังจากละครหลังข่าวจบ ในช่วงเวลาที่ห้วงอากาศเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทนาน ดาวที่แวววับประกายเด่นจ้าในช่วงหัวค่ำเริ่มหลบถอยไปตามกาลเวลาที่หมุนไปอย่างช้าๆ แต่ระหว่างที่เขาดูละครหลังข่าวจบไปอย่างเพลินหูเพลินตา ทำให้ช่วงเวลาหมุนอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาที่ติดละครจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันคิดว่าการหมุนของเวลาทำไมมันเร็วนัก ในเวลาที่ละครกำลังฉาย หากแต่เวลานั้นหมุนช้าๆในช่วงที่เขานั่งบื้อ อดรนทนรอเพื่อให้ข่าวค่ำจบไปไวๆเพื่อดูละคร เขาเป็นผู้ชายที่เฉยชาในโลกของความเป็นจริงเสมอๆเขาชอบนั่งจับเจ่าอยู่ที่ละครทีวีหลังข่าวเป็นประจำทุกวัน ทั้งยังชอบอ่านนิยายพาฝันเป็นประจำๆ เขาหลบหนีจากโลกของความเป็นจริงอย่างนั้นหรือ อันที่จริงแล้วเขาอาจจะมีปมด้อยในโลกของความเป็นจริงที่ขื่นขมก็เป็นได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย พ่อของเขาเป็นถึงศาสตราจารย์ประจำคณะหนึ่งในมหาลัยภาครัฐที่โด่งดังในประเทศ ทั้งยังเขียนหนังสือทางวิชาการเป็นประจำๆ ส่วนแม่ของเขานั้นวุ่นกับการทำตัวเป็นแม่ตัวอย่างที่ดีด้วยการออกหน้าออกตาทางสังคมยกยอปอปั้นลูกชายต่างๆนาๆประหนึ่งว่าลูกชายของเธอนั้นเป็นมนุษย์ที่มาจากยูโทเปียก็ไม่ปาน จึงไม่แปลกนักที่แม่ของเขาจะเป็นนายกสมาคมแม่บ้านดีเด่นของประเทศ กระนั้นก็ตาม เขาก็ยังเบื่อในความที่ไม่ว่าพ่อหรือแม่ของเขานั้นยัดเยียดในสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้ซะอย่างนั้น เขาไม่ต้องการชีวิตในแบบเดิมๆของเขาเขาต้องปฏิวัติตัวเอง เขาต้องการสิ่งใหม่ๆเข้ามาในชีวิตเพื่อใช้ชีวิตที่หวือหวาและสดใสมากกว่าการที่เขาถูกพ่อเข็นให้อ่านหนังสือทุกวันหลังจากกลับจากโรงเรียน การที่ถูกบังคับให้ไปเรียนพิเศษในสถาบันสอนพิเศษที่มีชื่อในจังหวัด เขามักจะเบื่อหน่ายจากการที่เพื่อนในที่เรียนพิเศษปั้นหน้าใส่กัน รวมถึงการโชว์ของแบรนด์เนมที่เขามองแล้ว มันคือของเล่นที่เขาผ่านตามาแล้วทั้งนั้นในวัยเด็ก เขาเบื่อในสิ่งเหล่านี้คล้ายกับว่ามันกำลังระเบิดความรำคาญในใจเขา  ชีวิตของเขานั้นถูกปอปั้นมาจากสิ่งที่พ่อแม่โยนมาให้ด้วยความปรารถนาดีในความคิดของพ่อแม่ แต่เป็นสิ่งที่ร้ายกาจในความคิดของเขา แม้แต่ชื่อของเขายังถูกตั้งตามชื่อพ่อและแม่ที่นำมาผสมผสานเข้ากันจนได้ชื่อว่า ธเนศ  
ธเนศเป็นชายหนุ่มวัยกระเตาะเรียนอยู่ช่วงชั้นมัธยมต้นที่หน้าตาดีพอสมควร ผมของเขาสีดำขลับปลิวไสวรับกับสายลมที่พัดผ่านมา รูปร่างของเขาดูกระฉับกระเฉง จมูกดูสันเป็นทรงเข้ารูป มีดวงตาที่แหลมคมผสมกับขอบตาที่คล้ำหมองจากการที่นอนดูละครดึก เขาสวมชุดไฮสกูลดูเข้ารูปอย่างพอเหมาะพอควร ธเนศเดินทางมาโรงเรียนด้วยปอเช่คันสีแดงแสบตาที่เขาเลือกมารถสปอร์ตหรูคันโปรดของเขา 5 คันจากในโรงรถ ธเนศไม่เป็นกังวลในเรื่องของกฎหมายในการที่เขาอายุไม่ถึงในการขับรถยนต์ส่วนบุคคล เพียงแค่เขาเผยอหน้าไปหาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เขาคนนั้นก็ส่งสายตาให้ธเนศแล้วก็ปล่อยไปอย่างเฉียบไว เป็นที่แน่นอนว่าอิทธิพลของตระกูลธเนศนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เขารู้สึกว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เบื่อและง่ายดายเสียยิ่งกว่านอนไขว่ห้างแล้วกินโคล่าสุดโปรดของเขาในระหว่างที่ดูละครเสียอีก เขาเผาหัวก่อนเข้าเรียนด้วยการเดินเข้าร้านสะดวกซื้อหน้าโรงเรียนแล้วหยิบเบียร์มากระแทกปากหยามป้าย ห้ามขายเบียร์ให้เด็กอายุต่ำกว่า20ปี อย่างหน้าตาเฉย ในการที่เขาควักแบงค์สีเทาๆให้กับพนักงานขายและกระซิบเบาๆว่า ไม่ต้องทอน มันทำให้เขาตะหนักรู้ถึงความไร้ค่าของเศษกระดาษอย่างเฉยเมย เขาจิบเบียร์ครั้งที่สามในชีวิต จะว่าไปธเนศกินเบียร์ครั้งแรกในตอนที่ละครที่เขาดูในตอนจบ แล้วตอนจบของละครไม่สมหวังอย่างที่เขาคิดไว้ ช่วงนั้นเขาไม่สบายใจมากรวมถึงความกระวนกระวายใจ จนมาหยุดที่ชั้นล่างในตู้เย็นของพ่อบ้าน เขาเห็นเบียร์อยู่ในนั้นสองขวด เขาลองลิ้มรสมัน แต่มันดูไม่อร่อยเลย มันขมมากเขาพะอืดพะผมในท้อง แต่นั่นกลับทำให้ความกระวนกระวายใจของเขาหายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือประสบการณ์ที่ธเนศได้ดื่มด่ำกับรสชาติเครื่องดื่มมึนเมาเป็นครั้งแรก ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ดูง่ายดายไปเสียหมด ในเรื่องการเรียนของธเนศ เขาแทบจะไม่ต้องขวานขวยอะไรเลย เขานั่งเรียนเพียงเศษหนึ่งส่วนสามของคาบเรียน หลังจากนั้นเขาก็นั่งเหม่อลอยถึงละครที่เขารอดูในตอนค่ำ แต่เขาก็ได้เกรดเฉลี่ยในรายวิชานั้นๆในระดับท็อปเสมอๆ ในเมื่อเขาเป็นแบบนี้ เขาคิดว่าจะปฏิวัติตัวเองได้อย่างนั้นหรือ 

หากธเนศต้องการจะปฏิวัติตัวเองจากความง่ายดายในการดำเนินชีวิตในสังคมที่มุ่งต้องการแต่กระดาษสีเทาๆอย่างแท้จริง เขาคิดเล่นๆว่าเขาคงต้องเป็นขอทานแล้วลองลำบากเหมือนคนอื่นๆดูบ้าง แต่นั่นเป็นเพียงความคิดที่สุดโต่งเกินไป ในเมื่อเขาเป็นขอทานแล้วรอคนเอาเศษเหรียญมาให้แลกกับการทำหน้าอ่อนโยนไปด้วยความน่าสงสารแบบจอมปลอมที่หวังแต่เพียงเศษเหรียญเพื่อมาประทังชีวิต มันก็คงดูน่าเบื่อไม่ต่างกันจากโลกที่เขาเป็นอยู่ เพียงแต่สลับกันจากรวยหรือจนเท่านั้น คำสองคำนี้ไม่อาจเป็นตัวชี้วัดถึงอนาคตที่ธเนศต้องการได้

บ่ายวันหนึ่งมีแขกของพ่อเขามาหาที่บ้าน บ้านของธเนศเป็นบ้านแนววินเทจในแบบที่พ่อของเขาโปรดปรานมากที่สุดเป็นบ้านแนวย้อนยุคหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่นอกชานเมืองมาหน่อย ดูๆแล้วยังหลีกหนีไม่พ้นถึงกลิ่นอายของบ้านที่เป็นกึ่งราชวังผสมเข้ากับคฤหาสน์ไปในตัว ชายหนุ่มที่มาหาพ่อของธเนศนั้นเขาเป็นชายแก่ที่ดูแล้วค่อนข้างมีไลฟ์สไตล์วัยรุ่นไม่จาง ชายแก่แต่งตัวแนวๆวัยรุ่นประหนึ่งว่าเขาเพิ่งผ่านพ้นช่วงวัยที่เขาเตะปี๊ปดังได้มาหมาดๆทั้งๆที่เขาอายุแทบจะ60 ปี อยู่แล้ว แต่พ่อของธเนศยังไม่มา ชายแก่ขยับขาที่อ่อนแรงลงนั่งที่โต๊ะรับแขก ธเนศนั่งอ่านหนังสือวิชาฟิสิกส์ซึ่งเป็นวิชาโปรดของเขาอยู่ที่ห้องอ่านหนังสือที่ประกอบไปด้วยชุดเครื่องเขียนครบชุด รวมถึงหนังสือที่ธเนศซื้อมาอ่านเพื่อเก็บไว้ ไม่ผิดนักถ้าเรามองว่าเป็นห้องสมุดขนาดย่อมๆ คล้ายกับห้องแลปที่ตกแต่งไปในบรรยากาศที่ขมุกขมัวไปด้วยความคุ้นชินกับเศษซากของความรู้ที่เบ่งบาน ธเนศมองชายแก่คนนั้นแล้วครุ่นคิดว่าจะเข้าไปทักทายดีไหม เขารู้สึกอยากรู้จักกับชายแก่คนนี้เสียยิ่งกว่าผู้หญิงที่น่ารักที่สุดในโรงเรียนที่เขาโปรดปรานเสียอีก แต่กระนั้นเขาก็หยุดชะงักงัน เมื่อเขาเห็นหัวข้อในหนังสือที่เขาอ่าน พลางกับเพ่งสายตามองที่หัวข้อหนึ่งของหนังสือเล่มนั้น ใช่แล้วนี่คือหัวข้อที่เขาทำคะแนนตอนสอบได้น้อยที่สุดในช่วงกลางเทอม เขาจะต้องอ่านและทำความเข้าใจกับมันก่อนเสีย จะไปสนใจกับสิ่งอื่นซิ ในระหว่างที่ธเนศกำลังอ่านหนังสือในหัวข้อที่สำคัญอยู่นั้น พ่อบ้านวัยกลางคน หนวดเฟิ้มพอเป็นรูปทรงไม่ถึงกับรุงรังเท่าไรนัก พ่อบ้านคนนี้เป็นพ่อบ้านที่รับใช้ตระกูลของธเนศมาหลายๆรุ่นแล้ว เขาเดินเสิร์ฟน้ำมาให้กับชายแก่พร้อมกับชี้ชวนบอกให้ชายแก่ผู้มาเยี่ยมเยียนแวะชมรูปภาพ Starry Night Over The Rhone ของแวนโก๊ะไปพลางๆ


ธเนศยังคงนั่งอ่านหนังสือต่อไปเรื่อยๆโดยที่เขาไม่ทราบเลยว่าชีวิตของเขากำลังจะเกิดเรื่องที่ยุ่งยากและไม่เป็นไปตามที่เขาประสบพบเจออีกต่อไป หลังจากนั้นอีกไม่นานพ่อแม่ของเขาเดินลงจากบนบ้าน พวกเขาค่อยๆก้าวลงมาช้าๆผ่านบันไดหินอ่อนที่แกะสลักเป็นลวดลายสัญลักษณ์อิยิปต์โบราณในสมัยของกษัตริย์ตุตันตามุน พ่อแม่ของเขายิ้มทักทายชายแก่ที่นั่งรอที่ห้องรับแขกอย่างอบอุ่น ชายแก่หยิบซิการ์ยี่ห้อ Cohiba ที่เป็นยี่ห้อโปรดของฟิเดล คาสโตร นักปฏิวัติชาวคิวบาที่อยู่ในกระเป๋าบอดี้สูทข้างซ้ายแล้ว แล้วบรรจงจุดไฟซิการ์แล้วลิ้มรสความหอมหวานของควันอย่างละเมียดละไม เมื่อควันของซิการ์ดับลง เขาค่อยๆหยิบของที่อยู่ในกระเป๋า ธเนศจ้องมองเขาอยู่หลังจากละสายตาจากหนังสือ เปรี้ยง เปรี้ยงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ธเนศสะดุ้งตกใจอยู่ไม่ถูก เขางงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภาพที่เขาเห็นคือ พ่อแม่ของเขานอนทรุดจมกับกองเลือดสีแดงซ่าน เขาแผดเสียงร้องอย่างสุดเสียงที่ลำคอเล็กๆของเขาจะสามารถเปล่งมันออกมาได้ เขาภาวนาว่ามันคือฝันร้าย เขาต้องตื่นจากความฝันซะทีซิ มันไม่จริงใช่ไหมแต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือความจริง พ่อแม่ของเขาจากไปแล้วจากไปโดยที่ไม่มีวันกลับมา ถึงที่สุดแล้วชายแก่คนนั้นนั่งชันเข่าแล้วมองหน้าธเนศ ชายแก่ยิ้มให้ธเนศจากนั้นเขาก็จากไป ธเนศยังทำอะไรไม่ถูก เขาไม่พบชายแก่คนนั้นอีกเลย แต่แปลกว่าทำไมเขาไม่รู้สึกโกรธชายแก่คนนั้นเลยหรือนี่จะเป็นบัญชาจากสวรรค์ที่ทำให้เขาไม่ต้องใช้ชีวิตโดยที่ถูกพ่อแม่บงการแล้วดำเนินชีวิตแทนเขาแล้วกระนั้นหรือ นี่คือสิ่งที่ง่ายดายที่สุดในเวลานี้ ทรัพย์สมบัติมากมายล้นเหลือตกสู่ทายาทเพียงคนเดียวนั่นก็คือเขา พ่อแม่เขาจากไปแล้ว ต่อจากนี้เขาต้องอยู่ด้วยตัวคนเดียวแล้ว ธเนศไม่เคยเห็นเลือดตรงๆขนาดนี้เลย เขาเกลียดเลือด เกลียดสีแดงเพราะเขาคิดเอาว่าสีแดงคือเลือด เลือดมีนัยยะของความสูญเสีย เขาเกลียดความสูญเสีย แม้กระทั่งของใช้ราคาแพงที่เขาใช้จนเบื่อแล้วเขาก็ยังไม่เอาทิ้ง เพียงนำมากองไว้ระเกะระกะในห้องเก็บของเท่านั้น ถึงอย่างนั้นร่างของพ่อแม่ของเขาที่หมดลมหัวใจ ยังคงหลอกหลอนธเนศอยู่ตลอดเวลา

ความเฉื่อยชา

สวัสดี วันนี้ผมอยู่ที่บ้านไม่ได้ออกไปไหน(ซึ่งปกติแล้วต้องออกไปโม้ที่มหาลัย) อยู่คนเดียวก็คิดอะไรไปมาอยู่เรื่อย ซักพักนึงผมเริ่มเบื่อ. ..
เลยอยากหาอะไรทำ แต่ก็ไม่มีอะไรนอกจากอ่านหนังสือ
/ ผมเลยนั่ง "นิ่งๆ" คิดไปคิดมาคำว่า "นิ่ง" มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่เลยผมเลยลองคิดอะไรที่มันเกี่ยวกับสิ่งที่ "นิ่งๆ"
*__* :นิ่งสิ่งแรกที่นึกถึงคือ "ZEN" : นิกายเซนเป็นนิกายในศาสนาพุทธนับถือกันมากที่ประเทศญี่ปุ่น หนึ่งในคำสอนของนิกายเซนคือการ"นอนหลับ" เราจะต้องนอนหลับให้เปรียบเสมือนตายแล้ว ปล่อยจิต ปลงทุกอย่างประมาณว่าใช้ชีวิตเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ส่วนวัน "พรุ่งนี้" ที่ตื่นมาถือว่าเป็นโบนัสจงรับโบนัสนี้โดยใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด
Y_Y :นิ่งที่สองผมนึกถึง " ดอกไม้ " : บางครั้งความบังเอิญมักจะสามารถสร้างปาฎิหารย์ที่แสนวิเศษ ดั่งเช่น อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง
ผู้คิดค้นยาเพนนิซิลิน(ยาปฎิชีวนะ) เมื่อเฟลมมิ่งได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านในวันหยุดโดยทิ้งจานเพาะเชื้อกองโตไว้ที่บ้าน พอกลับมาเขาจึงได้พบถึงการแบ่งตัวของบางอย่าง ก่อนที่จะกลายการค้นพบที่สำคัญ
..คุณเคยขับรถในเวลาที่เร่งรีบเพราะว่าต้องขับรถไปเรียน ไปทำงานโดยที่มองแต่จุดมุ่งหมายของตัวเองอย่างเดียวเลยใช่ไหมครับ
อย่าเพิ่งลืมสิ่งสำคัญบางอย่างไป??
/ปกติสำหรับผมคนที่ใช้ชีวิตแบบท้องถิ่นนิยม (Localism)บางครั้งก็อาจจะเร่งรีบบ้าง บางครั้งอาจจะเฉื่อยชาบ้างเพราะผมบังเอิญมองวิวข้างทางที่มีดอกไม้หลากสีสัน บางทีชีวิตผมอาจจะเร่งรีบจนไม่มีเวลามองดอกไม้ข้างๆทาง ถึงแม้จะมองมันก็เห็นไม่ชัด เพราะมันผ่านไปเร็วมาก
"แต่ทุกครั้งที่ผมหยุดนิ่งแล้วมองดอกไม้พวกนั้นภาพแห่งความทรงจำที่สัมผัสได้เฉพาะความรู้สึกของผมคนเดียว หัวใจของผมคนเดียว มันเป็นดอกไม้ที่แสนวิเศษที่สุดดอกนึงเลยทีเดียว"
คุณๆก็อย่าลืมหยุดพักนิ่งๆเพื่อชมดอกไม้ข้างทางบ้างนะครับ

ถึงเพื่อน..เมื่องานเลี้ยงเลิกลา

2-3วันนี้เกิดอาการ"ไม่ค่อยชิน"
-ต้องอ่านหนังสือเรียนทุกวัน
-บ่อยครั้งที่ตอนเย็นต้องออกไปมหาลัยเพื่อไปคุยโม้กับเพื่อนพร้อมกับการซื้อขนมผิงและข้าวกล่องหน้ามหาลัยเข้าไปกิน
-หรือกับการที่เห็นเจ้าพ่อm150 อย่างพี่"สอง ฟิตเนส" ที่ชอบบ่นหลังสอบเสร็จว่าติดFแน่กู ทั้งๆที่เกรดออกมามันมักจะได้B up
-ปกติแล้วจะเรียกเพื่อนที่ชื่อ"โบ้" ว่า
"โบว์" เป็นประจำ
-ครั้งที่ไปมหาลัยมักจะแอบฟังเพื่อนคนนึงที่มันชอบคุยโทรศัพท์ (พอเราไปถึงมันกลับบอกว่าอ่านหนังสือแล้ว ซะงั้น)
-คิดถึงรสชาติของมะม่วงน้ำปลาหวานที่ซื้อไปกินเป็นประจำ
-เพื่อนคนนึงมันชอบพูดคำว่า"ป๋องแป๋ง"เป็นประจำ
-มีคนนึงที่เพื่อนมักจะเรียกมันว่า"ตำรวจ"ว่ากันว่ามันเป็นเซียนพระ ทุกวันนี้ยังติดบุหรี่มันอยู่เลย
-หรือจะเพื่อนคนนึงที่พอเวลาเมาแล้วชอบ"เปิดตูด" หรือ "โชว์ขอบชีท"
-เพื่อนคนนึงที่ว่ากันว่าขับรถเก่งมากๆ ทั้งยังกินเหล้าเก่งอีกด้วยมีตำนานเล่ามาว่าไอ้นี่กินเหล้าเที่ยงวันยันเที่ยงคืนก็อยู่ได้
-มีเพื่อนคนนึงที่บ้านขายบะหมี่เหลือง"ตองเก้า"ที่มักจะโดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำอาทิ เช่น เจอถ่ายรูปตอนนอนเป็นคนเก็บขยะ,เจอถอดหัวนกกระจอกรถมอไซค์ออกทำให้สตาร์ทไม่ติด ว่ากันว่าครั้งนั้นมันโมโหมาก,ล่าสุดเจอแอบถ่ายในขณะนอนกรนฯ
-มีเพื่อนคนนึงที่มักจะมีคำพูดคล้ายๆว่าตัวพี่เขาเป็นพระเอกซีรีย์เกาหลีเช่นคำว่า"กูเจ็บ แต่เพื่อนกูไม่เจ็บก็พอ" ซึ่งผมอยากจะอ้วกใส่หน้ามันจริงๆ
-มีเพื่อนคนนึงที่เขาเรียกมันว่า"หัวโล้น" ตำนานเล่ากันว่าไอ้นี่เป็นพวกชอบแกล้งคนระดับปรมาจารย์ แถมยังชอบจับไก่ชนไปทำมิดีมิร้ายในยามวิกาลอยู่บ่อยๆ
-มีเพื่อนคนนึงที่มักจะมาชวนตีHonในช่วงสอบเป็นประจำ
-สุดท้ายมีเพื่อนคนนึงที่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้รวดเร็วประดุจนั่งขี่"เมฆสีทอง"ได้จริงๆมันยอดมาก

เรื่องของผม

จุดยืนในไลฟ์สไตล์ผมค่อนข้างชัดเจน ผมมี IDOL เป็นนักกฎหมาย นักมานุษยวิทยา รวมไปถึงนักปรัชญาในสมัยกรีกหรือจะเป็นนักคิดในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา(Renaissance) หลายๆคนก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าผมกำลังอวดโอ้ในความรู้ของตัวเองที่มีเพียงเท่าหางอึ่ง ผมกำลังหมายความว่าผมก็เหมือนกับคนอื่นๆที่มีบุคคลต้นแบบ ผมเป็นเฉกเช่นปุถุชนคนทั่วๆไปที่กำลังแหวกว่ายในสังคมทรงกลมๆที่เรียกว่า " โลก "
ผมชอบเขียนบทความเวลาว่างๆ โดยส่วนมากจะโพสลงใน Fb ซึ่งมาจากการเขียนลงในกระดาษแบบถนอมสายตาลองผิดลองถูกมานับครั้งไม่ถ้วน โดยเนื้อหาแล้วจะเน้นเรื่องของความฝัน ของหวัง และกำลังใจ ในคำพูดที่สวยหรูของผม ผมมักจะเน้นย้ำให้คนที่อ่านซึ่งโดยมากจะเป็นรุ่นน้องๆที่เรียนอยู่ด้วยกัน ซึ่งผมจะพยายามทำให้เขาดูเป็นตัวอย่างและผมสามารถทำสิ่งนั้นได้จริงๆ ดังนั้นคำพูดมากมายที่ผมเขียนมันขึ้นมามันจะไม่มีความหมายเลยหากไร้ซึ่งการ"ปฎิบัติ"
ในวันที่ท้องฟ้าสีหม่น เราอยู่ในโลกของป่าคอนกรีตและป่าแห่งการแย่งชิงเศษกระดาษ เป็นป่าที่ผู้คนต่างบรรจงประณีตที่จะสลักเปลือกหน้าอันจอมปลอมเพื่อเอาไว้เสแสร้งใส่กันเช่นนั้นหรือ .. ผู้คนส่วนมากที่พ่ายแพ้จากป่าแห่งนี้โดยมากแล้วมักจะมองโลกเป็น"สีดำ" คำพูดของผมอาจจะติดตลกหากคนผู้นั้นอาจจะเจอ"สี"อื่นๆ สีที่ว่านี้คือประสบการณ์ที่คนผู้นั้นได้รับมาตลอดชีวิต แล้วถ้าคนผู้นั้นยังเลือกที่มองโลกเป็นสีดำต่อไป โดยไม่ได้มองสีอื่นๆที่ได้สาดเข้ามาใส่เขาเลย แล้วภาพความฝันที่ยังรอการแต่งเติมอยู่ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเล่า?
ผมเองก็มีความฝันของผม พวกคุณด้วยเช่นกัน ผมคงจะต้องพยายามอีกเยอะสำหรับความฝันของผม หากวันใดวันหนึ่งคุณท้อแท้ เหนื่อยกับเรื่องต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต วันนั้นโลกทั้งใบของคุณอาจไม่เป็นเช่นที่คุณวาดฝันไว้ ผมอยากให้คุณส่องกระจก ใช่ เห็นหรือเปล่าว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวเพียงลำพัง คุณลองส่องกระจกแล้วยิ้มซิ คนในกระจกจะต้องยิ้มกลับมาแน่นอน ความหวังและกำลังใจของคุณไม่ได้หายไปไหนเลย เพียงแต่มันยังคงโอบอุ้มหัวใจของคุณที่กำลังห่อเหี่ยวเอาไว้ไม่ห่าง ผมเชื่อว่าคุณก็ต้องหลงรักมันอย่างแน่นอน

ความรักกับรถไฟ

ความรักของรถไฟบนท้องฟ้าของผม

..ลองคิดเล่นๆหากความรักเป็นเช่นก๊าซต่างๆ สามารถลอยเคว้งอยู่บนอากาศได้ เราคงอยากส่งความรักให้กันตรงๆ เหมือนเติมก๊าซจากท่อเข้าสู่ตัวถัง ถึงกระนั้นหากมีสถานีบริการความรักที่ไหนซักแห่งคงจะดีไม่น้อย อีโมติคอน smile
สำหรับผมคงมี"ความรัก"อย่างหนึ่งที่ลอยอยู่บนอากาศได้เช่นกันเพียงแต่มันถูกคั่นด้วยรางเท่านั้น สิ่งนั้นคือ"รถไฟ" ผมนึกถึงเมื่อครั้งที่ผมไปเข้าวัดปฎิบัติธรรมแห่งหนึ่งซึ่งวัดนั้นจะมีสถานีรถไฟอยู่ใกล้ๆกัน ผมเฝ้ามองรถไฟอยู่เสมอๆเพราะเสียงมันดังกังวาลมากจนทุกคนต้องหันมองมันเป็นเสียงเดียวกัน รถไฟจึงดูน่ารักที่สุดในเวลานี้
..หากเปรียบรถไฟเป็นคนสองคน ส่วนทางรถไฟคือเวลา รถไฟสองขบวนเดินทางออกจากชานชะลาเดียวกัน โดยรถไฟขบวนหนึ่งวิ่งในความเร็วเท่ากับเข็มยาวของนาฬิกาและรถไฟอีกขบวนหนึ่งวิ่งในความเร็วเท่ากับเข็มวินาทีของนาฬิกา หากแม้นเรามอง"ความรัก"เป็นนาฬิกาเรือนหนึ่ง จะต้องมีครั้นที่รถไฟสองขบวนนั้นจะต้องวนกลับมาหากันได้แน่นอน แม้การถีบตัวของเข็มยาวจะเนิ่นช้า แต่ในที่สุดแล้วเข็มวินาทีที่หมุนอย่างเร่งรีบก็จะโอนอ่อนตัวเองผ่านเข้ามาหาเข็มยาวบ้าง
แต่ถ้ารถไฟทั้งสองขบวนมุ่งที่จะสร้างเส้นทางของตนเองโดยลืมชานชะลาที่ตัวเองจากมา หากวันใดวันหนึ่งรางรถไฟได้มีทางแยกขึ้นมา รถไฟทั้งสองต่างหมุนเวียนอยู่ในทางแยก เมื่อนั้นรถไฟทั้งสองจะไม่มีวันได้บรรจบกันอีกเลย

วันเกิดปีที่21

ของขวัญที่ร่วงหล่นมา21ปีของท้องฟ้า
สวัสดี ผมเขียนเรียงความชิ้นนี้ให้กับตัวเองครับ เนื่องในวันที่14ที่ผ่านมาเป็นวันคล้ายวันเกิดปีที่21ของผมเอง  ช่วงเวลาที่ทำผมเคลิ้ม ปนเบื่อคือช่วงเวลาปิดเทอมใหญ่ที่นานแสนนาน5เดือนมักจะเป็นเส้นขนานสำหรับวันคล้ายวันเกิดของผมเพราะผมเกิดเดือนมิถุนาฯมันเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในระหว่างเวลาปิดเทอมใหญ่ในทุกๆปีการศึกษาผมเลยไม่มีโอกาสที่จะได้รับการเซอร์ไพส์อะไรจากคนอื่นเลย ว้าแย่จัง ไม่เป็นไรน่านี่แหละของขวัญของผมที่จะให้ตัวเองถ้าไม่มีเพื่อนๆหรือพี่ๆน้องๆที่ผมรู้จัก ของขวัญชิ้นนี้จะไม่มีโอกาสได้ลืมตาขึ้นมาเลย
21ปีที่ผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้าบ่อยๆเคล้าอารมณ์กับเสียงเพลงบวกกับเครื่องดื่มมึนเมาเป็นบางครั้งแล้วแต่บรรยกาศตอนนั้น โดยปกติแล้วการมองท้องฟ้าเนี้ยมันมักจะมีนัยยะแอบแฝงต่างๆมากมาย บางคนเสียใจร้องไห้เสร็จแล้ว เช็ดน้ำตา ทำหน้าแดงสะอึกสะอื้นแล้วก็มองท้องฟ้า บางคนออกไปทำงานก็มองดูท้องฟ้าว่าสายหรือยัง บางคนลัคกี้มากๆในชีวิตวันนี้ก็มองบนท้องฟ้าแล้วก็พูดคนเดียวว่า"วันนี้เป็นวันของเรา" ซะงั้น ผมเนี้ยเป็นบ่อยเลยพอท่องประมวล(มาตรากฎหมาย)แล้วจำไม่ได้ซักทีก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อจะตั้งสมาธิในการท่องจำให้ติดสมองให้ได้ ยังไงก็ต้องออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่ผู้ชายที่มองโลกสวยงามเสมอไปนะ(แต่ผมเป็นผู้ชายประเภทโลกสวยด้วยมือเรา..ล้อเล่น อิอิอิ)
เมื่อผมได้แหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าเนี้ย ผมจะจินตนาการถึงสิ่งที่ผมต้องการที่จะเป็นในโลกข้างบนนั้น เมื่อผมจินตนาการอยากได้อะไร โลกข้างบนของผมก็มักที่จะทำให้ความต้องการของผมสมหวังเสมอ ใช่โลกข้างบนมันมีอยู่จริง แต่โชคชะตามักจะโหดร้ายกับเราเสมอ เราไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกข้างบนเป็นเพื่อนกับน้องกระต่ายที่อยู่บนดวงจันทร์ได้หรอกนะ แต่อย่างน้อยๆเมื่อเรากลับมาใช้ชีวิตในโลกข้างล่างของเราโดยสามารถมีโลกจินตนาการข้างบนเป็นเงาตามตัวได้เสมอ ทุกๆย่างก้าวของการใช้ชีวิตอยู่ที่"ทัศนคติ"ของเราล้วนๆ...
ทัศนคติทั้งสองด้าน ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง ยังไงเราก็ต้องอยู่กับมันอยู่แล้วไม่ว่าจะ สุข-ทุกข์ ดีใจ-เสียใจ ผิดหวัง-สมหวัง รวย-จน อกหัก-รักที่สุดหรือไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ ทุกสิ่งมี2ด้านในตัวของมันเองเสมอมา มันก็เหมือนเหรียญ เมื่อเราโยนขึ้นไปเราไม่มีทางรู้หรอกว่าจะออกหัวหรือก้อย หากเรามัวกังวลไป มันก็คงช่วยอะไรไม่ได้ จะให้เหรียญพลิกไปด้านที่เราต้องการหรือย้อนกลับไปที่เดิมก็ไม่ได้เพราะเราไม่มีไทม์แมชชีนเหมือนโดเรมอน
...ไม่ว่าเหรียญจะอยู่ด้านไหน ผมก็อยู่กับมันอย่างซื่อสัตย์มาตลอด21ปีแล้ว ผมขอบคุณ"เหรียญชีวิต"ของผมเหรียญนี้ที่ทำให้ชีวิตผมเพลิดเพลินสนุกสนาน คลุกเคล้าความสุขหรือความทุกข์กับมันในทุกๆเช้าที่ตื่นขึ้นมาและผมหวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกๆคนเพลิดเพลินกับเหรียญของตัวเองด้วยนะครับ

นิติธรรม?

ข้ออ้างในการหยุดแสวงหาเหตุผลในสรรพสิ่งด้วยตัวของตัวเอง เป็นการมักง่ายทางสติปัญญาอย่างถึงที่สุด
--
 ข้ออ้างดังกล่าวนั้นคืออะไร เราสามารถเรียนรู้ได้ด้วยใจตนเพียงเท่านั้น หากลองพินิจพิจารณาถึงประเด็นในเรื่องความชอบธรรม(legitimacy) โดยมีหลักนิติธรรม(rule of law)มาเป็นแกนในการวิเคราะห์ ex.นาย A ขโมยถุงข้าวแกงเพื่อนำมาให้มารดาที่ป่วยและหิวโดย ถ้าพิจารณาเพียงแค่ความถูกต้องตามตัวบทกฎหมายโดยไม่ได้นำความชอบธรรมมาพิจารณาประกอบด้วย นาย A จะผิดแน่นอน แต่นักกฎหมายนั้นการใช้กฎหมายไม่เฉพาะแต่การใช้ตามตัวบทกฎหมายเท่านั้น หากแต่ยังต้องพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายด้วยเช่นกันนั่นหมายความว่าจะต้องดูที่เหตุผลหรือความมุ่งหมายในการที่จะบัญญัติกฎหมายนั้นๆขึ้นมาด้วย เพราะกฎหมายนั้นเป็นเพียงหนึ่งในบรรทัดฐานของสังคม(social norms) ทั้งนี้เพื่อดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขของประชาชน เราอาจสรุปได้ว่า โดยหลักแล้วการใช้กฎหมายนั้นจะต้องใช้ตามบทกฎหมาย(ประเทศเราใช้กฎหมายในระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรก็คือต้องยึดตามประมวลกฎหมายเป็นหลัก) ไม่เพียงเท่านั้น เราจำต้องดูที่เจตนารมณ์ของกฎหมายดังที่กล่าวมาแล้วเช่นกัน ...
--
บริบทของสังคมนั้นสำคัญไฉนต่อความชอบธรรมหรือการใช้เหตุผล ในยุคจักพรรดิ์จิ๋นซี(ที่สร้างกำแพงเมืองจีน) ผู้คนต่างๆนั้นเชื่อในคำสอนและปรัชญาของขงจื้อ จุดร่วมที่เหมือนกันกับเรื่องของความชอบธรรมในสังคมนั้นก็คือ ปรัชญาของขงจื้อนั้นจะเน้นในเรื่องการนำคุณธรรมมาตัดสินปัญหาด้วย โดยอาจจะขัดกับตัวบทกฎหมายด้วยเช่นกัน ในยุคที่ประเทศจีนแตกเป็นก๊กเป็นเหล่า .... คือต้องเข้าใจก่อนนะว่าประเทศจีนไม่ได้รวมกันเป็นกลุ่มๆ แต่ว่ารวมกันเป็นก๊ก ดังนั้นการที่รัฐจะควบคุมผู้คนนั้นจะทำให้เกิดความยากลำบาก แบบนี้ก็แย่ซี้ครับ เพราะพื้นฐานของการปกครองของประเทศจีนนั้นจะต้องทำโดยการยึดการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการที่จะไม่โอนอ่อนต่อสิ่งที่ผิดกฎหมาย(rule by law)โดยไม่แม้แต่จะคำนึงถึงเรื่องความชอบในแง่ของศีลธรรมเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่มีความชอบธรรมในกฎหมายที่ตราขึ้นมาใช้เองทั้งสิ้น จิ๋นซีฮ่องเต้จึงสั่งประหารหมู่นักวิชาการขงจื้อ การเผาตำราขงจื้อ ฝังนักวิชาการทั้งเป็น ... อนิจจา จิ๋นซีฮ่องเต้นั้นกลัวความตายมากพยายามหายาอายุวัฒนะแต่สุดท้ายก็สิ้นพระชนม์ลงพร้อมกับการล่มสลายของรางวงศ์ฉินและการปกครองโดยขาดความชอบธรรม (legitimacy) และธรรมอำนาจ (moral authority)ในกาลต่อมา

หลักกฎหมาย:ร้องขัดทรัพย์

หลักสำคัญอันนึงของการร้องขัดทรัพย์

    " ต้องมีการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ฯ  ออกขายทอดตลาด "
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 676/2546
การที่โจทก์ทั้งสามขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อนำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ได้มาแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยตามส่วนมิใช่เป็นการร้องขอให้บังคับคดีตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หากแต่เป็นการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการแบ่งทรัพย์สินระหว่างผู้มีสิทธิร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1364 วรรคสอง ผู้ร้องทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288

หมายเหตุ

การร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดเพื่อมิให้ทำการขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ใช้บังคับกับกรณีที่มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาที่พิพากษาให้ใช้หนี้เงินซึ่งต้องยึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาออกขายทอดตลาดนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น

แต่คดีนี้เป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษาที่พิพากษาให้แบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินซึ่งไม่สามารถแบ่งกันได้จึงต้องนำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกัน มิใช่คำพิพากษาที่พิพากษาให้ใช้หนี้เงิน จึงไม่อาจมีการร้องขัดทรัพย์ตามมาตรา 288 ได้ มิใช่ว่าการขายทอดตลาดในคดีนี้มิใช่เป็นการร้องขอให้บังคับคดีตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังที่ศาลฎีกาวินิจฉัยแต่อย่างใด
ไพโรจน์ วายุภาพ

จากผมถึงสิงห์ sqweez animal

#ripsingha เมื่อคืนประมาณ 5ทุ่ม สิงห์sqweez animal ได้จากโลกนี้ไปแล้วด้วยการพลัดตก(น่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย)จากคอนโด ไม่ผิดนักถ้าผมจะพูดว่าผมก็เป็นอีกหนึ่งคนที่โตมากับเพลงของวงนี้มาตั้งแต่เรียนม.ต้น ตั้งแต่เพลงย้ำ'คำบางคำ,รักลอยลมหรือเพลงฮิตๆที่ใครๆก็รู้จักอย่างเพลงไม่เคยจะห่างกัน

"ฆ่าตัวตาย"ผมไม่โทษว่าใครผิด.ผมคงไม่ผลิตวาทะกรรมแม่ลูก ในเวลานั้นไม่มีใครรู้หรอกครับว่าจริงๆแล้วนั้นผู้ตายคิดอะไรยังไง เคสของพี่สิงหอนี้พี่เขาได้เขียนจดหมายไว้ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่รู้หรอกครับว่าจริงๆแล้วจดหมายนั้นมีนัยยะแอบแฝงอะไรไว้ มันอาจจะไม่หมายความตามเนื้อความในจดหมายก็ได้ใครจะไปรู้เพราะผู้เขียนนั้นไม่อยู่แล้ว

:ผมขอบคุณพี่สิงห์สำหรับการขับกล่อมดนตรีที่ฟังแล้วไม่มีวันเบื่อ หลังจากเขียนโพสต์นี้เสร็จผมคงเปิดยูทูปแล้วไปฟังเพลงของsqweez animalอีกหลายๆหน


วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

เมื่อครั้งเรายังเด็ก(คิดถึง)

มีคนบอกว่าควรนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก สักครั้งในทุกๆปี ผมคิดว่าเอ่อ.การนั่งดูพระอาทิตย์จะทำให้เราเกิดปฎิกิริยาRevolution ที่หมายความว่าการปฏิวัติ แต่ในรากศัพท์ภาษาละตินคำนี้คือ re+volvo นั่นหมายความว่าการหมุนอย่างซ้ำๆ การหมุนในที่นี้คือการหมุนความทรงจำในวัยเด็กอีกครั้งนึงของผม ตอนนี้ผมอายุ20นิดๆกำลังนั่งปล่อยพุงประหนึ่งว่าผมนั้นเป็นจอมมารบลูร่างอ้วนหลังจากกินช็อคโกแลตเสร็จ อยู่ที่หลังบ้านของป้าผมที่ต่างอ. ผมได้มีโอกาสหมุนกลับไปในวัยเด็กอีกครั้งด้วยการนั่งสัมผัสกับพระอาทิตย์ตก ช่วงชีวิตในวัยเด็กของทุกๆคนต่างก็มีความทรงจำที่พร่าเลือน บางครั้งพ่อแม่ก็จำได้ว่าตอนเด็กเราซนและฮาแค่ไหน แต่เรากลับจำไม่ได้ซะอย่างนั้น ความทรงจำที่ไม่อยากจำในวัยเด็กของทุกๆคนมักจะเป็นการร้องไห้เมื่อไม่ได้ของเล่นตามที่ต้องการ(บางคนมักจะโดนไม้เรียวตามมา)

วัยเด็กเราได้รับรู้ถึงของเล่นใหม่ๆหรือการไปวิ่งเล่นข้างนอกเวลาฝนตก นั่นเป็นความทรงจำในวัยเด็กของผู้ชายที่มักจะจำได้แม่น แต่สำหรับเด็กผู้หญิงนั้นน่าจะเป็นการเล่นขายของเสียเป็นส่วนมาก หรือการมีตุ๊กตาสวยๆเพื่อมาให้มานอนกอดก่อนนอนเป็นประจำ กรอบความคิดในวัยเด็กนั้นเลือนลาง แลดูจางๆไปตามกาลเวลา "แต่ของเล่นชิ้นโปรดของเรา เราจำมันได้ไม่มีลืมแน่นอน"

วันชาติอเมริกา

วันชาติเมกา' สั้นๆเข้าใจง่ายๆ(เพราะผมเข้าใจตามนี้ *-* )

-สงคราม7ปีในช่วงลัทธิล่าอาณานิคมที่เป็นการแย่งชิงกันยิ่งใหญ่ในอินเดียเมื่อ คศ.1756 ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศษผลคืออังกฤษชนะสงคราม โดยมีจอร์จ วอชิงตัน เนี้ยแหละเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง(สมัยนั้นวอชิงตันเป็นทหารมียศพันโท เมื่อเสร็จสงครามจึงลาออกจากทหารไปเป็นนักการเมืองท้องถิ่นในเวอร์จิเนีย)

-ถึงรบชนะแต่อังกฤษก็มีหนี้เยอะเลยไปขูดรีดเอากับ 13 อาณานิคม โดยการขึ้นภาษี เช่นภาษีใบชา ภาษีสแตมป์

-ทางฝั่ง 13อาณานิคมไม่พอใจไง เพราะว่าขึ้นภาษีทั้งๆที่ไม่มีผู้แทนซึ่งเป็นคนของท้องที่ตัวเอง(คนอเมริกัน)อยู่ในสภา โดยอังกฤษที่เป็นประเทศแม่ก็อ้างว่า ทุกคนใน13อาณานิคมล้วนเป็นประชาชนในอังกฤษเช่นเดียวกับเมืองแม่ จึงต้องเสียภาษีโดยไม่ต้องมีข้อแม้ (พูดง่ายๆว่าแถ)

-เหตุการณ์เหมือนภูเขาไฟที่กำลังรอวันระเบิดออกมา เกิดการกระทบกระทั่งกันอย่าง เหตุการณ์ boston tea party โดยคนในอาณานิคมปลอมตัวเป็นพวกอินเดียนแดงแล้วขึ้นไปบนเรือแล้วโยนใบชาทิ้งซะอย่างนั้น ส่วนสาเหตุก็คือ
1.รัฐบาลอังกฤษมอบสิทธิให้บริษัทอีสต์อินเดียขายใบชาให้ชาวอาณานิคมโดยตรงทำให้พ่อค้าชาวอเมริกันเสียประโยชน์
2.รัฐบาลอังกฤษยังขึ้นภาษีใบชาที่จะส่งไปอังกฤษ

หรือยังมีเหตุการณ์ปะทะกันที่บอสตันโดยทหารอังกฤษยิงปืนใส่ชาวอาณานิคมที่มาประท้วงโดยมีคนตาย 5 คน เหตุการณ์นั้นเรียกว่า "การสังหารหมู่ที่บอสตัน "

*สุดท้ายก็เกิดสงครามนำไปสู่การปลดแอกของ13อาณานิคม และก็ได้ออกคำประกาศเอกราชสหราชอาณาจักร (Declaration of Independence) ในวันที่ 4กรกฎาคม 2319 หรือ 200กว่าปีที่ผ่านมา คนที่ทำการร่างก็คือโทมัส เจอเฟอร์สัน ต่อมาเป็นประธานาธิบดีที่คนที่ 3 ของสหรัฐต่อจาก จอน อดัมส์ และจอร์จวอชิงตัน

เพิ่มเติม-การประกาศเอกราชของเหล่า13อาณานิคมต่ออังกฤษโดยถือคำสอนของจอห์น ล็อก มาพัฒนาสู่ปรัชญาการเมือง สหรัฐถือว่าเป็นแม่แบบของการกำเนิดรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดในโลก แต่ถึงกระนั้นสิทธิเสรีภาพที่ถือว่าเป็นแกนของเรื่องราวทั้งหมดก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเช่นกัน อีก 70ปีต่อมา ลินคอร์น ประกาศเลิกทาส และอีก 100กว่าปีถึงจะมีการยกเลิกการแบ่งแยกสีผิว

กว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกามาถึงทุกวันนี้ก็เหนื่อยเหมือนกันนะรวมทั้งผมด้วยกว่าจะเขียนเสร็จ รื้อหนังสือมาดูหลายรอบเหมือนกัน 55+ บั๊ยยยย

ปิดเทอมใหญ่

ปิดเทอมใหญ่หัวใจแสนสุข part 1.

     เฮลโลว่ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมได้ไปปฏิบัติธรรมในคอร์สวันเข้าพรรษาที่วัด
"บนเขา" แถวๆปากช่อง สนุกมากเลย ผมได้มีโอกาสรู้จักกับคนแปลกหน้าหลายๆคน ทั้งๆที่ความจริงแล้วมนุษยสัมพันธ์ของผมกับคนที่ไม่รู้จักมันช่างเลือนลางเหลือเกิน จากปกติจะไม่ค่อยทักใครก่อนเท่าสักเท่าไหร่(สำหรับคนที่เราไม่รู้จักหรือมันเป็นเรื่องปกตินะ) แต่มันก็ไม่แปลกสำหรับคนที่อยู่เบื้องหลังตัวอักษรแบบผมที่มักจะไม่คุ้นชินในการแสดงออกทางคำพูดสักเท่าไร แต่ความจริงแล้วผู้คนที่วัดนั้นแสนอบอุ่น พวกเขาจะเริ่มต้นด้วยบทสนทนาที่แสนละเมียดละไม เช่นคำว่า"อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ" "สวัสดีครับ นักปฏิบัติธรรมผู้เจริญ" ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าผมเป็นคนที่บังเอิญมาเจอกับไออุ่นแบบนี้หรือเพราะว่าเหตุผลอะไร แต่ถึงกระนั้นนอกจากผมจะได้มาปฏิบัติธรรมแล้วผมยังได้เสพความสุขจากผู้คนเหล่านี้อีกด้วย

ปิดเทอมใหญ่หัวใจแสนสุข part 2.

  หลังจากกลับจากปฏิบัติธรรม เรื่องราวกระทันหันที่แสนวิเศษก็วิ่งแจ้นผ่าไฟแดงมาหาผม เมื่อพี่ชายที่รู้จักกันชวนไป "ทะเล" แบบ งงๆ เอาเป็นว่าหลังจากเพิ่งมาถึงบ้านไม่ถึง 24 ชั่วโมง ผมก็ต้องมุ่งหน้าไปพัทยาตั้งแต่ ตี 4 ในวันนั้น ...

คือสารภาพตามตรงเลยนะผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก คิดว่ามันคงเป็นเรื่องปกติของคนที่มีกลิ่นชายหาดมาตั้งนานแล้ว แต่ว่าสำหรับผมคนที่มาจากถิ่นของข้าวเหนียว ส้มตำ คงไม่ค่อยจะคุ้นชินกับทะเลเท่าไรนัก
...ทะเลที่ผมเคยรู้จักมันยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งก่อน เสียงคลื่นที่คุ้นชินยังคงวาดภาพของความทรงจำเก่าๆ มีคนมาเดินขายของตลอดเวลาอย่างกับนั่งรถไฟฟรี =_= เพื่อนที่น่ารักที่สุดที่ไปเที่ยวทะเลคงไม่พ้นเพื่อนที่มีคุณสมบัติเปลี่ยนนิสัยได้ง่ายๆ
+ถ้ามองทะเลในแง่มุมที่โรแมนติคแล้ว เมื่อมาถึงทะเลบางคนอาจจะจูงมือคนรู้ใจแล้วเดินเล่นที่ชายหาด แล้วก็เดินไปเรื่อยๆทำให้สะสมความรักในหนุ่มสาวมากยิ่งขึ้น ประหนึ่งว่าทั้งสองคนอยู่ในมุมๆมุมนึงที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิต แต่อันที่จริงแล้วจะไปไหนก็แล้วแต่ หากเราไปกับคนรู้ใจ มันก็คงจะมีความสุขมากไม่ต่างกันเน้อ

ความเค็มของน้ำทะเลยังคงเอกลักษณ์ของทะเลไว้อย่าทะนงตัว เฉกเช่นมนุษย์ที่ไม่สามารถขาดความรักได้ แม้ว่าเราจะผิดหวังกับมันสักแค่ไหน แต่เราก็ยังชอบความรักอยู่ดี และไม่สามารถปฎิเสธได้ว่าเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่มีความรัก

"ความรักยังคงอยู่กับเราเสมอ ในทุกๆเช้าที่เราตื่นขึ้นมา"

เสพความสุขจากการผูกข้อมือ

การที่ผมมีประสบการณ์ที่น่าประทับใจไม่รู้ลืมในแต่ละวัน(ไม่ใช่ทุกวัน) ผมมักจะเรียงร้อยถ้อยคำแล้วกลั่นออกมาเป็นตัวอักษรเพื่อจะทำให้ตัวเองกลับมาอ่านข้อความนี้แล้วนั่งอมยิ้มเป็นประจำ คิคิ

วันนี้ผมได้ไปงานบายศรีถ้าพูดอย่างเข้าใจไม่ยากนักก็คืองานจับสายรหัสนั่นแหละ ผมได้"หลานรหัส" (น้องของน้องรหัส) 2คน แหนะ ดูๆแล้วผมแก่ขนาดที่เป็นลุงรหัสแล้วหรอเนี้ย.. เวลาผ่านไปไวจังเลย ช่วงบ่ายๆหลังจากรับขวัญน้องเสร็จแล้ว จะมีน้องๆปี1 มานั่งต่อแถวเพื่อมาให้ผูกแขนเยอะมากๆ การที่ผมนั่งท่าเดียวแล้วผูกแขนน้องๆที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายประหนึ่งสายธารที่ไหลมาอย่างต่อเนื่องทำให้ผมเป็นตะคริวจนได้ แต่นั่นไม่ทำให้ผมกังวลเพราะว่า การที่ได้คุยกับผู้คนหลายหลากในระหว่างที่ผมผูกข้อมือบวกกับมุขตลกๆเข้าไป มันทำให้ผมเห็นรอยยิ้มของน้องๆทุกๆคนที่ผมผูกข้อมือให้ สำหรับผมนั่นก็เป็น"มุมดีๆ" มุมนึงของชีวิตแล้วละครับ

การเสพความรู้สึกดีๆผมว่า บางทีเราก็สามารถรับรู้ได้แค่ตัวเอง โดยไม่ต้องไปโหยหาอะไรที่มันเกินตัวไปนักสำหรับชีวิต พยายามไขว่ขว้ามากเท่าไรจนบางครั้งเราอาจลืมไปว่าความสุขนั้นอยู่ใกล้แค่นี้เอง ;)

ความยุติธรรมกับคนยุติธรรม

วันนี้ได้ไปแจกลายเซ็น(กิจกรรมๆหนึ่ง)น้องปี 1 เลยลอง(สุ่ม)ถามคำถามก่อนแจกลายเซ็นว่า
"แล้วความยุติธรรมคืออะไร?" คือส่วนใหญ่จะตอบว่าเท่าเทียมกัน หรือ บางคนโยงไปไกลถึงเรื่องการเมืองรวมถึงเกี่ยวกับศาสนา อื้มม ต้องบอกตามตรงว่าผมก็ไม่ได้คิดคำเฉลยไว้ในหัวหรอกเพียงแต่อยากทราบถึงทัศนคติในเรื่องนี้หน่อย บางคนก็
ตอบโอเค เห็นแล้วชื่นใจ
    ประเด็นก็คือ ในหัวผมแว้ปไปถึง แนวคิดเรื่องกฎธรรมชาติหรือสิทธิที่พระเจ้าเป็นผู้กำหนดการหาเหตุผลของการดำรงอยู่หรือเกิดมีขึ้นของอำนาจอธิปไตย ที่อยู่ในยุคกลาง,ยุคศาสนจักร(ยุคที่ศาสนาคริสต์ครอบงำผู้คนในลักษณะของการปกครอง โดยสมัยนั้นฝ่ายอาณาจักร=ฝ่ายอำนาจปกครองเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของจากฝ่ายบ้านเมือง ซึ่งทำหน้าที่เป็นเพียงแขนขา ไม่ได้มีอำนาจเท่ากับระบอบศาสนา ... เอาง่าย คือยุคกลาง เป็นยุคที่ศาสนาครอบงำทุกๆอย่างของมนุษย์หรือเรียกอีกยุคนึงว่า "ยุคมืด" นั่นแหละ)
.....โดยคนที่มีแนวคิดนี้ก็คือ Sain Thomus Aquinus โดยอไควนัสเล่าถึงกฎหมายกับความยุติธรรมว่ากฎที่มนุษย์สร้างขึ้นจะเป็นกฎหมายก็ต่อเมื่อสอดคล้องกับเหตุผลที่ถูกต้องและด้วยวิธีนี้ก็เห็นได้ชัดว่ามันหลั่งไหลมาจากกฎธรรมชาติที่ถูกต้องเป็นนิรันดร์ ถ้าหากกฎหมายเบี่ยงไปจากเหตุผลที่ถูกต้อง เรามักเรียกว่ากฎหมายที่ไม่ยุติธรรม แต่ในกรณีเช่นนี้มันไม่เรียกว่ากฎหมายเลยด้วยซ้ำแต่เป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับความรุนแรง

เอาละนักบวชชาวโดมินิกันนั้น เน้นว่า หากกฎหมายจะเป็นกฎหมายที่มีความยุติธรรมนั้นจะต้องสอดคล้องกับ"เหตุผลที่ถูกต้อง"
แล้วเหตุผลที่ถูกต้องมันเป็นเช่นไรหรือ? ผมนั้นเห็นว่าความยุติธรรมกับเหตุผลที่ถูกต้องนั้นเป็นคนละเรื่องกัน ผมยกตัวอย่างเช่น ชาวยิวอย่างที่ทราบกันว่าชาวยิวนั้น ได้ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธ์โดยพรรคนาซี โดยมีผู้นำก็คือฮิตเลอร์ จำนวนชาวยิวที่ตายประมาณ 5-6 ล้านคน รวมถึงชาวยิวเชื้อสาวโปแลนด์อีกประมาณ 3 ล้านคน (เหตุผลที่ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวผมขอไม่พูดถึงเพราะเดี๋ยวออกนอกประเด็น) ชาวยิวนั้นถือว่าโดนกระทำย่ำยีโดยไม่แยแสถึงสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด ไม่มีความเห็นอกเห็นใจและพรรคนาซีก็ไม่มีความชอบธรรมมาตั้งแต่แรกในการสั่งฆ่าผู้คนที่ไม่มีความผิดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลดีสักเท่าไร ก็ไม่อาจล้างตราบาปนี้ได้ เอาง่ายๆเลยก็คือชาวยิวนั้นเป็นฝ่ายถูกกระทำไปเต็มๆ

 ต่อมาเมื่อชาวยิวได้สร้างชาติก็คือประเทศ"อิสราเอล" โดยแรงหนุนจากพี่ใหญ่มะกัน ได้รับการรับรองจากสหประชาชาติเรียบร้อย แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นมาเมื่อ พื้นที่ที่สร้างชาติอิสราเอลนั้น มีชนเผ่าดั้งเดินอยู่ก็คือทางฝั่งอาหรับ... คือประเทศปาเลสไตน์ เหตุการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชาวปาเลสไตน์นั้นถูกกดขี่อย่างหนักจากอิสราเอล เมื่อต้นศตวรรษที่21 ก็มีการปะทะกันอย่างหนักที่เขตเวสแบงค์ หรือ ฉนวนกาซ่า(พื้นที่ทับซ้อน) เอาตรงๆแล้ว ประเทศอิสราเอลหรือชาวยิวเนี้ย มาทีหลังแต่ดันใช้ความชอบธรรมจากสหประชาชาติเเพื่อมามีเรื่องกับพวกอาหรับคือปาเลสไตน์

ผมถามกับตัวเองเสมอว่าอิสราเอลเนี้ยก็เคยโดนกระทำแบบไร้ซึ่งมนุษยธรรมในสมัยของฮิทเลอร์แต่ดันมาทำตัวเยี่ยงฮิทเลอร์กับปาเลสไตน์ซะอย่างนั้น แล้วแบบนี้
คำว่ายุติธรรม กับ เหตุผลดีๆ ของ Saint thomus aquinus  อยู่ที่ไหน หากเหตุผลดีๆที่นำมาซึ่งกฎหมาย แต่ต้องแลกด้วยเลือดแบบนี้

 "ผมขอเป็นคนดี แต่มีกฎหมายที่เลวเสียยังดีกว่า"

มนุษย์คือก้อนเนื้อที่มีความต้องการ ต้องการ ต้องการ

วันนี้กลับบ้านไวเลยอยากรีรีนบทความที่เคยเขียนไว้เมื่อไม่นาน ผมชอบตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆมากมาย(แต่ไม่ถึงขนาดเป็นเจ้าหนูจำไม)
วันนึงผมเห็น น้องคนนึงพูดว่า
"ความจริง"แล้ว มันเป็น .... แล้วความจริงคืออะไร? ผมคิดไปค่อนข้างที่จะละมุนลุ่มลึกต่อไปอีกในคำถามนั้น สุดท้ายแล้วประเด็นที่ผมคัดกลั่นออกมาจากหัวของผมมันคือคำถามที่ว่า "แล้วมนุษย์ต้องการอะไรละ?"

ความต้องการสุดท้ายจริงๆแล้วของมนุษย์ ถ้าจะเลือกระหว่างสิ่งที่เป็นรูปธรรมสามารถจับต้องได้เช่น การมีรถ บ้าน ครอบครัวที่ดี มีเงินมากมาย หรือ สิ่งที่เป็นนามธรรมอย่าง อำนาจ ความเคารพนับถือ บารมี
เราสามารถพูดได้ว่าจริงๆแล้วเนี้ยมนุษย์เรามีความต้องการขั้นพื้นฐานคือกินและขี้ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยขาดสองสิ่งนี้ อาจกล่าวได้ว่ากระบวนการในการดำรงชีวิตของมนุษย์มันมีเพียงเท่านี้จริงๆกระบวนการดำรงอยู่ของมนุษย์สามารถดูได้จากปฎิกิริยาการป้องกันตัวเองของมนุษย์ในรูปแบบต่างๆ อันนำไปสู่การวิวัฒนาการในคราวต่อมา

ยังมีเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตของมนุษย์คือมนุษย์นั้นมีกระบวนการในด้านของอารมณ์ มันแสดงให้เราเห็นถึงการแสดงออกของมนุษย์ในรูปแบบใหม่ๆซึ่งไม่ใช่เฉพาะแต่กินและขี้ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นเท่านั้น โดยมนุษย์สามารถแปรอารมณ์ความรู้สึกของตนเองใหัดำรงชีวิตอยู่ได้ภายใต้ความรู้สึกที่ไม่สามารถจับต้องได้ เช่นการรู้สึกอยากให้มีคนมาชอบตัวเอง การมีความรักต่อผู้อื่น หรือความรู้สึกโกรธเกรี้ยว อิจฉาริษยาผู้อื่น นั่นคือเสน่ห์ในการใช้ชีวิตของมนุษย์ ..ทั้งยังรวมไปถึงกระบวนการคิดต่อวัตถุที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาภายใต้ยุคทุนนิยม วัตถุต่างๆล้วนตอบสนองความต้องการของมนุษย์ทั้งสิ้น(ไม่แยกแยะในแง่ของความจำเป็น-) อีกทั้งมนุษย์นั้นไม่มีทางหลุดพ้นจากมิติในสังคมทุนนิยม มนุษย์มีทั้งความสุขและความทุกข์ต่อสิ่งเหล่านี้ นั่นแสดงให้เห็นอีกว่ากระบวนการทางด้านอารมณ์ความเชื่อของมนุษย์ต่อวัตถุต่างๆที่อุปโลกน์ขึ้นมานั้นก็เป็นหนึ่งในกระบวนการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งสิ้น มนุษย์ต้องการสิ่งใหม่ๆมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองเสมอๆ

...หากมีคนมาถามว่า"ทำไมถึงดูหนังโป๊"
นั่นมันเป็นเรื่องปกติ แน่นอนผมจะตอบไปว่า"ก็เมียที่บ้านไม่ได้เซ็กซี่ขนาดนั้น"

เรื่องสั้น: บีบ

เรื่องสั้นที่ลองทำดูจริงๆจังๆ
"บีบ"

เด็กหญิงสองคนเหยียบย่ำอยู่บนพื้นหญ้าที่แห้งอับเฉาประหนึ่งว่าเป็นศพที่พึ่งถูกรถชนตายไปหมาดๆแล้วยังไม่ได้ฉีดฟอร์มาลีนจนกระทั่งศพนั้นโชยกลิ่นเหม็นเน่า ดวงดาวทอแสงสว่างไสวระยิบระยับในยามราตรีรัตติกาล ดวงดาวชั่งสวยงามนักต่างจากดวงตาที่สิ้นหวังไร้เรี่ยวแรง หดหู่อ้างว้างไม่มีทิศทางในทุกๆก้าวที่เหยียบย่ำผ่าน คล้ายกับว่าหนทางที่พวกเธอเดินนั้น เป็นหนทางนำไปสู่หลุมดำที่มิดมิดดั่งหลุมแบล็กโฮลขนาดใหญ่ที่แสนลึกลับดูน่ากลัว เมื่อมองผ่านเข้าไปที่นัยตาทั้งคู่ ความขัดแย้งในตัวเอง ความกระวนกระวายในจิตใต้สำนึกที่ไม่มีผู้ใดเข้ามารับรู้ได้ถึงภาวะความหลั่กหลั่นที่อยู่ในจิตใต้สำนึกที่ลึกเข้าไปข้างใน ยังไม่พอ มันคว้านลึกเข้าไปอย่างถึงที่สุดในจิตใจ หลังจากที่ชั่งใจอยู่สักพักหนึ่งเด็กผู้หญิงผู้พี่ ค่อยๆล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายที่ผุพัง เนื้อผ้าข้างในขาดยุ่ยรุ่งริ่งไม่มีชิ้นดีดุจดังเศษซากของผีเน่าที่คอยตามหลอกหลอนเธออยู่ตลอดเวลา เธอหยิบของสิ่งหนึ่งจากกระเป๋า เด็กหญิงผู้น้องมีนัยน์ตาที่หมองเศร้าซ่อนเร้นถึงบาดแผลของความเจ็บปวดฝังรากลงลึกไปในส่วนที่มิดมิดที่สุดในหัวใจที่บอบบางพร้อมที่จะสูญสลายไปได้ทุกเมื่อ เธอรับของที่พี่เธอส่งมาให้อย่างยินดี พวกเธอก้าวต่อไปเรื่อยๆวกวนอยู่ภายใต้จิตใจที่ขัดแย้งอย่างไม่รู้จบ

ถ้วยชามวางระเกะระกะรกรุงรัง ครอบบรรดาเศษสลักเชื้อโรคนับพันธ์ชนิดติดอยู่ที่ผนังและพื้นห้อง สว่างวาววับราวกับมีตัวตนอยู่สัมผัสได้กับกลิ่นอายของความโสมม คราบหยากไย่ยังคงความเด่นชัด เสื้อผ้าที่ส่งกลิ่นเหม็นอับคล้ายกับวิญญาณของเศษซากหนอนเน่า ยังสัมผัสได้ในทุกอณูของเสื้อผ้า ขวดเหล้าวางเกลื่อนกลาดดาษดื่นอยู่ที่ประตูที่ชำรุดทรุดโทรม ยากหยั่งถึงที่จะเรียกว่ามันคือส่วนหนึ่งของตัวบ้าน

หลังจากทับทิมไปกู้เงินจากเจ้าหนี้นอกระบบเมื่อสามเดือนก่อนเหตุการณ์ในครั้งนั้นทับทิมไม่ต่างอะไรกับนกน้อยปีกหักที่ไม่สามารถโบยบินโหยหาอิสระภาพได้อีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปเสียหมด ร้านรับจ้างซักรีดกิจการที่กำลังจะไปได้สวยก็มีอันต้องปิดตัวลงไป อนาคตครอบครัวที่แสนสุขอย่างที่เฝ้าถวิลหามีอันต้องอันตธานหายไปในชั่วพริบตา ที่ดินที่นำไปจำนองเพื่อชำระหนี้ที่กองทบขึ้นเรื่อยๆก็สูญสิ้นมลายอย่างไม่มีวันกลับมา กองหนี้ที่แสนทุกข์ทนนักหนาเพิ่มพูนงอกเงยเรื่อยๆหนี้สินประเดประดังเข้ามาใส่อย่างไม่รู้จบรู้สิ้น ลูกสาวทั้งสองคนของทับทิมต้องออกจากโรงเรียนอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งคู่เป็นเด็กที่เรียนอยู่ในเกณฑ์ดี ซ้ำยังเคยได้รับรางวัลชนะเลิศการโต้วาทีในหัวข้อศิลปะร่วมสมัยใหม่ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความประทับใจของเด็กหญิงทั้งสองคน

ทุกอย่างหายไปเด็กหญิงทั้งสองคนต้องหลบๆซ่อนๆจากเจ้าหนี้ที่ตามมาทวงหนี้ สภาวะความหวาดกลัวนำมาซึ่งฝันร้ายที่ยากเกินพรรณณาถึงได้ ก่อให้เกิดความหวาดระแวงที่ซ้อนทับกันอยู่ในจิตใจของทั้งคู่อย่างหลีกหนีไม่พ้น หลังจากมีหนี้กองโต ทับทิมอึดอัดกระวนกระวายใจอย่างถึงที่สุด ราวกับถูกใครบางคนกดหัวเธอจมน้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างบ้าคลั่ง เธอทะเลาะกับสามีเป็นประจำ เธอถูกสามีทุบตีจนใบหน้าที่บอบบางเขียวช้ำปูดบวมคล้ายกับลูกมะกรูดน่า ช่างดูน่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง ไม่แปลกนักถ้าเธอจะมีเครื่องดื่มมึนเมาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในเวลานี้ เด็กหญิงทั้งสองคนเธอต้องปวดร้าวอย่างถึงที่สุดในจิตใจของพวกเธออยากจะระบายความกดดันนี้ออกไปให้พ้นเสียที เหตุการณ์นี้มันไม่ควรเกิดขึ้น พวกเธอได้แต่เฝ้าภาวนาอ้อนวานว่านี่เป็นเพียงความฝัน ถึงอย่างไรเด็กหญิงทั้งสองก็ไม่สามารถหลีกหนีกับความจริงที่แสนโหดร้ายนี้ได้ ความเชื่อไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความจริง
สิ่งแวดล้อมรอบด้านอันสกปรกโสโครก ความเน่าเหม็นในจิตใจที่แฝงเร้น เป็นเนื้อร้ายคอยกัดกินหัวใจอย่างโลภโมโทสัน ความทุกข์ทรมานภายในจิตใจดั่งผีร้ายที่คอยอาละวาด สิ่งแปลกปลอมที่คาดไม่ถึงดึงดันย่างกายเข้ามาอยู่หน้าหุบเหวในใจของพวกเธอแล้ว พวกเธอสับสนกระวนกระวายทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ร้ายแรงและยากที่จะสลัดมันให้พ้นออกไป คงไม่มีอะไรที่น่าพรั่นพรึงไปกว่าการที่ติดอยู่ในวังวนความคิดที่อยากจะโหยหาถึงคำตอบที่แท้จริงในจิตใจของตัวเองเป็นแน่แท้ ความกระอักกระอ่วนใจยังคงท่วมอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ กระบวนการถ่ายทอดถึงคำตอบที่เป็นอยู่ ยากที่จะหยั่งถึง แม้มีเครื่องช่วยหายใจนับสิบห้อยโย้เย๊ระโยงรยางค์อยู่ ก็ไม่อาจรักษาบาดแผลนี้ได้ ปัง!