ปัจจุบันบรรดาเฟมินิสต์(นักเคลื่อนไหวด้านสิทธสตรี)หลายๆคนร่วมกันสร้างคุณค่าให้กับเพศหญิงให้มีความเท่าเทียมกับเพศชายในด้านต่างๆมากมาย
ในอดีตแล้วการขับเคลื่อนของสตรีที่เด่นๆก็เริ่มต้นมาจากประเทศพี่ใหญ่ของเราทางฝั่งตะวันตก
ตัวอย่างที่เห็นภาพได้ชัดๆ.แม้ลินคอร์นจะประกาศเลิกทาสแล้ว(**การเลิกทาสในประเทศเมกา'สมัยนั้นมีมลรัฐที่ภาคใต้ที่ไม่เห็นด้วย แต่มลรัฐภาคเหนือเห็นด้วย
กล่าวคือรัฐทางเหนือมีสภาพเศรษฐกิจที่เน้นด้านอุตสาหกรรมเป็นหลักและมีภาคกสิกรรมในรูปแบบไร่นาขนาดเล็กที่ใช้แรงงานในครอบครัว
ขณะที่รัฐทางใต้มีสภาพเศรษฐกิจที่เน้นด้านกสิกรรมเป็นหลักคล้ายรูปแบบของเจ้าที่ดินสมัยศักดินา
โดยจะมีการทำไร่ขนาดใหญ่ที่ใช้แรงงานทาส)
การเลิกทาสเมื่อปี1863ของลินคอห์น จึงมีผลให้ปลดปล่อยทาสทันที50000 คน
กระนั้นเพศหญิงไม่ว่าจะผิวสีไหนก็ตาม
รวมถึงเพศชายผิวดำไม่ได้มีสิทธิในการเลือกตั้งในระบบการเมืองระบอบประชาธิปไตย
น่าแปลกที่"สิทธิความเป็นพลเมืองของสตรี"เพิ่งจะได้มีการระเบิดพลังออกมาจนในที่สุดเพศหญิงก็มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในเมกา'ได้ในปี 1920 นำทัพโดยเฟมินิสต์เทพๆคือ Lucretia
MottและElizabeth Cady รวมถึงเพศชายผิวดำที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในสมัยประธานาธิบดีจอห์นสัน
ในปี1964 ในยุคสมัยของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง jr ในที่สุดเพศหญิงและเพศชายก็มีสิทธิเท่าเทียมกันในทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย
โดยฝั่งเพศชายนั้นเพิ่งจะระเบิดสิทธิของตัวเองออกมาเมื่อเกือบๆ 100 ปีหลังจากเลิกทาส ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะประวัติศาสตร์ของเมกา'จึงเสมือนหนึ่งว่าเป็น"ของขวัญ"ของส่วมรวมไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง
ในอดีต..ความเชื่อที่เกิดเป็นประเพณีในเวลาต่อมาของชาวจีนราวศต.ที่10เกิดขึ้นเมื่อกษัตริย์ Li yu แห่งรางวงศ์ถัง
ได้มีนางสนมผู้หนึ่ง
ต้องการมัดใจจักรพรรดิ์จึงได้นำผ้ามาพันเท้าให้เล็กๆเพื่อทำการแสดงการรำบนกลีบดอกบัวต่อหน้าพระพักดิ์
เมื่อจักรพรรดิ์เห็นจึงเกิดความประทับใจอย่างมาก
จึงได้สั่งให้นางทาสรัดเท้าของเธอด้วยผ้าไหม
และขึ้นไปร่ายรำบนเวทีที่โรยด้วยดอกบัวทอง นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ประเพณีการรัดเท้ากับดอกบัวทองจึงเป็นของคู่กันมา(ข้อมูลจากวิกิ)
นั่นทำให้เราเห็นว่าสถานะของชาวจีนในสมัยก่อนนั้นก็ถูกกดทับให้อยู่ในสถานะที่กดให้ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด
เพราะการรัดเท้าเป็นดอกบัวนั้นเป็นการทำให้โครงสร้างทางกระดูกเปลี่ยนแปลงเพราะถุกรัดอย่างรุนแรง
จึงทำให้เหมือนกับว่าเท้ามีเพียง4นิ้ว
ส่งผลให้ลักษณะทางกายภาพดูด้อยค่าลงจะเดินไปไหนก็ไม่สะดวก
ทั้งนี้ผู้หญิงกว่าร้อยละ45 ที่รัดเท้าดอกบัวส่วนใหญ่จะเป็นพวกสนมในวัง
อาจเดาได้ว่าอาจมีผู้หญิงที่จะหลบหนีออกจากวังในอดีตจึงทำให้มีประเพณีนี้ขึ้นมา
เหมือนกับเป็นการกดขี่เพศหญิงทางอ้อม (เพราะจะเดินไปไหนก็ลำบาก)
บ้างก็อ้างว่าการรัดเท้าเป็นดอกบัวจะทำให้อวัยวะเพศหญิงดูอวบอูม
ทำให้เกิดเสน่ห์ทางเพศเพิ่มมากขึ้น ในกรณีนี้ไม่ใช่ว่าเพศหญิงทั้งหมดจะถูกบังคับให้ปฎิบัติตามประเพณีนี้
บ้างก็ทำด้วยความเต็มใจเอง
หากมองในกรอบคิดของศาสนาคริสต์การกำเนิดของมนุษย์เกิดจากการมนุษย์ชายหญิงคู่แรกของโลกคืออีฟกับอดัมไปขโมยกินแอปเปิ้ลในสวนอีเดนของพระเจ้า
เหตุคือมีซาตานแปลงกายมาเป็นงูแล้วบอกกับอีฟว่า ที่พระเจ้าห้ามให้กินแอปเปิ้ลเพราะว่าพระเจ้ากลัวว่าจะมีใครฉลาดกว่าตน
เมื่อรู้ดังนี้อีฟจึงชวนอดัมมากินแอปเปิ้ลด้วยกันจึงเกิดเป็นเรื่องเล่าต่อมาในไบเบิ้ล
เห็นว่าแม้ในทางศาสนาอีฟ(เพศหญิง)ยังถูกกดขี่โดยการถูกงู..งูเป็นลักษณะคล้ายศิวะลึงค์ของเพศชาย
มาหลอกให้ขโมยแอปเปิ้ลกิน การกดทับทางเพศยังมีอย่างต่อเนื่อง
กล่าวกันว่าในคัมภีร์ไบเบิลได้ลดเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นผู้หญิง
เริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิดที่เป็นผู้หญิง จากคำสอนของศาสนาคริสต์ในยุคแรก
สตรีจะมีช่วงที่ไม่สะอาด เช่นในช่วงระหว่างการมาประจำเดือนและหลังจากการคลอดบุตร
จึงถือว่าสตรีนั้นจะมีช่วงที่สกปรกคือเป็นช่วงที่มีมลทินในชีวิตในบางช่วง
กรอบการมองสตรีเพศในศาสนาคริสต์จึงมองว่าการร่วมเพศนั้นเป็นสิ่งที่สกปรก
แต่การกำเนิดของมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
ไม่ว่าอย่างไรเมื่อการกำเนิดนั้นต้องร่วมเพศ แนวความคิดจึงเปลี่ยนไปเป็นการอลุ่มอลวยให้แก่กันคือร่วมเพศได้
แต่จะต้องมีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น
สถาบันครอบครัวในมุมของคริสต์ศาสนาจึงถือเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุด
แม้โยนีจะถูกมองว่าเป็นเรื่องที่สกปรก
แต่ตรงกันข้ามกันในศาสนาฮินดูในคัมภีร์พระเวทย์โบราณของอินเดีย
ลึงค์(อวัยวะเพศชาย)เป็นพลังสร้างสรรค์ของธรรมชาติและเป็นตัวแทนของพระศิวะ
หินลึงค์มักวางอยู่ในโยนี โยนีเป็นต้นกำหนดของสิ่งทั้งปวงซึ่งหากปราศจากโยนีแล้ว
ความเป็นบุรุษก็ไร้ค่าและปราศจากความหมาย
ลึงค์และโยนีอยู่ร่วมกันเป็นตัวแทนนามธรรมของการสรรค์สร้าง
จึงไม่แปลกที่ะมีการบูชาเฉลิมฉลองโยนีซึ่งจัดเป็นเทศการประจำปีในรัฐอัสสัมประเทศอินเดีย
สุภาษิตสอนหญิงของสุนทรภู่อ้างมาบ้างส่วน
"จะนุ่งห่มดูพอสมศักดิ์สงวน ให้สมควรรับพักตร์ตามศักดิ์ศรี
จะผัดหน้าทาแป้งแต่งอินทรีย์ ดูฉวีผิวเนื้ออย่าเหลือเกิน"
"จะนุ่งห่มดูพอสมศักดิ์สงวน ให้สมควรรับพักตร์ตามศักดิ์ศรี
จะผัดหน้าทาแป้งแต่งอินทรีย์ ดูฉวีผิวเนื้ออย่าเหลือเกิน"
คำกลอนที่สอนให้ผู้หญิงรู้จักระวังตัว
แต่งหน้าให้พอประมาณ
ห้ามให้ทำกิริยาที่ดูเหมือนต้องการผู้ชาย(สมัยนี้น่าจะเรียกว่าร่าน) กลับกันภาษิต'นี้มองว่าเพศชายเป็นเพศที่หลอกลวง ปลิ้นปล่อน กะล่อน เหลวไหล
ไม่มีความรับผิดชอบ อย่าเอาผู้ชายประเภทที่หลงเราเพียงเท่านี้เป็นคู่ชีวิต
นอกจากนั้นยังมองว่าการร่วมเพศเป็นสิ่งที่น่ารังเกลียด เป็นของที่สกปรก
ต่ำและอันตรายไปในตัว
เป็นการสร้างบรรทัดฐานว่าหากคุณจะต้องการร่วมเพศจะต้องเป็นการร่วมเพศที่มีศีลธรรมมากำกับว่า
"หากคุณจะร่วมเพศก็สามารถทำได้ ถ้าการร่วมเพศนั้นไม่ผิดศีลธรรม"
ปัญหาคือการร่วมเพศเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ หญิงชายคู่หนึ่งร่วมเพศกัน
แต่คุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าก่อนที่ทั้งคู่จะร่วมเพศกันนั้น
เขาทำผิดศีลธรรมก่อนหน้านั้นหรือไม่
สามารถมองภาพได้จากสังคมไทยในอดีตเรื่องการคลุมถุงชน
จะเห็นว่าไม่จำเป็นที่หญิงชายจะรักกัน
แต่หากครอบครัวทั้งสองต้องการให้แต่งงานกันก็จำเป็นต้องแต่ง...ดังนั้นการร่วมเพศและศีลธรรมจึงมีความขัดแย้งในตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หรือแม้แต่การที่เราจะกำหนดกรอบศีลธรรมการร่วมเพศและกามารมณ์ผ่านทางสถาบันอื่นที่ไม่ใช่สถาบันครอบครัวก็เป็นเรื่องที่สังคมทำความเข้าใจยากเช่นการเป็นโสเภณีที่ดีไม่หลอกลวงลูกค้า
ได้เงินมาต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ เกย์หรือเลสเบี้ยนต้องไม่สำส่อนมีคนรักเพียงคนเดียว
ไม่หยาบคาย หรือถ้าเป็นกระเทยก็ต้องมีนิสัยสุภาพอ่อนหวาน
ไม่สร้างความรำคาญให้กับผู้อื่นเป็นต้น
"ไม่ว่าเพศไหนก็ไม่ควรที่จะถูกมองว่าด้อยค่า"