วันนี้ผมอ่านคำบรรยายเนฯวิชาอาญาหัวข้อเรื่องการกระทำโดยป้องกันและการกระทำโดยจำเป็น อ่านไปเรื่อยๆ(ผมขอไม่ลงรายละเอียดมากนะครับ เอาเฉพาะหัวข้อที่เป็นประเด็น) จนไปเจอเรื่องความแตกต่างระหว่างจำเป็นและป้องกันหลักๆหนึ่งบอกว่า
สัดส่วนของการกระทำโดยป้องกันนั้น ในกรณีที่เป็นภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายและการกระทำโดยโต้ตอบของผู้ป้องกันมีความร้ายแรงพอๆกัน อธิบายพอให้เข้าใจว่า หากการกระทำของผู้ที่ก่อภัยนั้นมีความร้ายแรงขนาดไหน ผู้ที่ทำการป้องกันนั้นก็จะต้องกระทำต่อผู้ก่อภัยในลักษณะที่ร้ายแรงพอๆกันด้วย ex.a จะยิง b/b เลยยิง a จะเห็นว่าการกระทำของทั้ง2คนมีความร้ายแรงพอๆกัน กฎหมายนั้นถือว่าการกระทำของผู้ที่ป้องกันนั้นได้สัดส่วนและพอสมควรแก่เหตุ เมื่ออ้างป้องกันได้เพราะเหตุผลที่ยกขึ้นมาดังกล่าว(แต่หลักจริงๆมันมีเยอะนะครับ) จึงถือได้ว่าการกระทำของ b นั้นกฎหมายยกเว้นความผิดให้ bจึงไม่ต้องรับผิดในผลนั้นคือความตายของ a นั่นเอง
สมมุติผมเปลี่ยนตัวอย่างข้างบนว่า a มีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกาย b คือใช้เพียงไม้ท่อนเล็กๆตีb แต่b นั้นยิงโต้ตอบกลับไป อย่างนี้จะอ้างป้องกันไม่ได้เพราะการกระทำของผู้ที่ตอบโต้นั้นไม่ได้สัดส่วน = ไม้ vs ปืน แต่อาจจะเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะคือได้รับการลดโทษ หากถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้นจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นเรื่องๆไป
ส่วนการกระทำโดยจำเป็นนั้น โดยหลักจะต้องเป็นการกระทำต่อบุคคลที่สามกล่าวคือต้องไม่เป็นการกระทำต่อผู้ก่อภัยเหมือนเช่นกรณีป้องกัน หากภยันตรายมีความร้ายแรงเท่ากัน ต้องถือว่าเกินสัดส่วนและสมควรแก่เหตุปรับตามตัวอย่างเมื่อครู่ ex.a ขู่จะยิง b ถ้าb ไม่ยิง c จากนั้น b ก็ยิง c ตาย จะเห็นว่าภยันตรายนั้นมีความร้ายแรงพอๆกัน คือ b ถูก a ขู่จะยิง=ปิืน ตนก็เลยยิง c =ปืน แต่กฎหมายนั้นให้ถือว่าเกินสัดส่วนจึงเกินสมควรแก่เหตุ ดังนั้นจะถือว่า b กระทำโดยเหตุจำเป็นเพื่อยกเว้นโทษไม่ได้ ทั้งนี้ b จะอ้างบันดาลโทสะเพื่อลดโทษไม่ได้อีกเช่นกันเพราะว่าการบันดาลโทสะนั้นจะต้องกระทำต่อผู้ที่ข่มเหงด้วยเหตุที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งc นั้นเป็นผู้ที่ถูกกระทำไม่ได้เป็นผู้ที่ข่มเหง bเลย ฉะนั้นb อ้างบันดาลโทสะไม่ได้
ทำไม2ตัวอย่างข้างต้นจึงต่างกันเหตุเพราะ ป้องกันนั้นกระทำต่อ"ผู้ก่อภัย" แต่จำเป็นนั้นกระทำต่อ"บุคคลที่สาม" ซึ่งเขาไม่ได้มีส่วนผิดอะไรเลย กฎหมายจึงมองว่าการที่ bดำรงชีวิตของตนด้วยการทำลายชีวิตของ c จะถือว่าเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุไม่ได้ นั่นหมายความกฎหมายมุ่งที่จะคุ้มครองบุคลลที่สามมากเพราะเขาไม่ควรจะมาตายโดยไม่มีความผิดอะไร
ปัญหาคือ แล้วชีวิตของ b ละไม่มีค่าหรอ? b ไม่มีค่าที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้การถูกบังคับของa หรอกหรือ เพราะเขาทำไปเพราะต้องรักษาชีวิตของเขา ประเด็นที่ผมนั่งหาคำตอบให้ตัวเองคือ แล้วมนุษย์เราเนี้ยจะหาอะไรมาวัดว่าใครมีค่ามากกว่าใคร ถ้าตอบแบบกวนตีนคือ"ก็ตามกรมธรรมน์ไงละ" งั้นเรามาลองตีราคาของคนกันเล่นๆว่าต้องใช้ทรัพยากรเท่าใดในการเลี้ยงคนหนึ่งคนขึ้นมา เอาถึงอายุซัก 20 ปี
ถ้าอาหารแต่ละมื้อมีมูลค่าเฉลี่ย 40 บาท ปีหนึ่ง ๆ มี 365 วัน หนึ่งวันกิน 3 มื้อ เท่ากับต้องกินอาหารปีละ 1095 มื้อ คิดเป็นแล้วก็ 43800 บาท
ดังนั้นถ้าเลี้ยงถึงอายุ 20 ปี เฉพาะค่าอาหารอย่างเดียวก็ตกเกือบ ๆ 1 ล้านบาทแล้วครับ(จากพันทิปครับ) นี่ยังไม่รวมถึงค่าสูญเสียโอกาสต่างในอนาคตอีกมากมายจิปาถะอีกเยอะแยะเลยครับ
ดังนั้นถ้าเลี้ยงถึงอายุ 20 ปี เฉพาะค่าอาหารอย่างเดียวก็ตกเกือบ ๆ 1 ล้านบาทแล้วครับ(จากพันทิปครับ) นี่ยังไม่รวมถึงค่าสูญเสียโอกาสต่างในอนาคตอีกมากมายจิปาถะอีกเยอะแยะเลยครับ
ถ้าคิดแบบนี้ แสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกตีค่าตีราคาได้หรือ อากาศที่คุณๆหายใจกันอยู่ต้องจ่ายมูลค่าของอากาศให้ใคร แล้วมูลค่าของการให้กำเนิดต้องจ่ายให้พ่อ-แม่หรือเปล่า ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นในกาลและเวลาต่างๆ มีมูลค่ามีราคาหรือเปล่า ความผูกพันต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งคุณจะตีราคาได้หรือ?
คล้ายกับเป็นปัญหาโลกแตก ผมไม่คิดอีกแล้ว แม้เราไม่สามารถตีราคาของคนๆหนึ่งได้ แต่เอาเป็นว่าในปัจจุบันคุณสามารถสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้เสมอนะครับ แล้วจงทำมันต่อไปเรื่อยๆ ขอหยิบประโยคของไอดอลผม(พี่เล็ก greasy cafe) มาปิดท้ายมหากาพย์การบ่นที่ยืดยาวของผม
"ตราบใดที่เรายังต้องการอากาศหายใจเหมือนคนอื่นๆก็พยายามอย่าคิดว่าเราพิเศษเหนือใครๆ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น