วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

โยนี/ผู้หญิงกับประวัติศาสตร์การสร้าง/เพศ-ศีลธรรมกับการย้อนแย้งกันเอง

ปัจจุบันบรรดาเฟมินิสต์(นักเคลื่อนไหวด้านสิทธสตรี)หลายๆคนร่วมกันสร้างคุณค่าให้กับเพศหญิงให้มีความเท่าเทียมกับเพศชายในด้านต่างๆมากมาย
ในอดีตแล้วการขับเคลื่อนของสตรีที่เด่นๆก็เริ่มต้นมาจากประเทศพี่ใหญ่ของเราทางฝั่งตะวันตก ตัวอย่างที่เห็นภาพได้ชัดๆ.แม้ลินคอร์นจะประกาศเลิกทาสแล้ว(**การเลิกทาสในประเทศเมกา'สมัยนั้นมีมลรัฐที่ภาคใต้ที่ไม่เห็นด้วย แต่มลรัฐภาคเหนือเห็นด้วย กล่าวคือรัฐทางเหนือมีสภาพเศรษฐกิจที่เน้นด้านอุตสาหกรรมเป็นหลักและมีภาคกสิกรรมในรูปแบบไร่นาขนาดเล็กที่ใช้แรงงานในครอบครัว ขณะที่รัฐทางใต้มีสภาพเศรษฐกิจที่เน้นด้านกสิกรรมเป็นหลักคล้ายรูปแบบของเจ้าที่ดินสมัยศักดินา โดยจะมีการทำไร่ขนาดใหญ่ที่ใช้แรงงานทาส)
การเลิกทาสเมื่อปี1863ของลินคอห์น จึงมีผลให้ปลดปล่อยทาสทันที50000 คน กระนั้นเพศหญิงไม่ว่าจะผิวสีไหนก็ตาม รวมถึงเพศชายผิวดำไม่ได้มีสิทธิในการเลือกตั้งในระบบการเมืองระบอบประชาธิปไตย น่าแปลกที่"สิทธิความเป็นพลเมืองของสตรี"เพิ่งจะได้มีการระเบิดพลังออกมาจนในที่สุดเพศหญิงก็มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในเมกา'ได้ในปี 1920 นำทัพโดยเฟมินิสต์เทพๆคือ Lucretia MottและElizabeth Cady รวมถึงเพศชายผิวดำที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในสมัยประธานาธิบดีจอห์นสัน ในปี1964 ในยุคสมัยของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง jr ในที่สุดเพศหญิงและเพศชายก็มีสิทธิเท่าเทียมกันในทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย โดยฝั่งเพศชายนั้นเพิ่งจะระเบิดสิทธิของตัวเองออกมาเมื่อเกือบๆ 100 ปีหลังจากเลิกทาส ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะประวัติศาสตร์ของเมกา'จึงเสมือนหนึ่งว่าเป็น"ของขวัญ"ของส่วมรวมไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง

ในอดีต..ความเชื่อที่เกิดเป็นประเพณีในเวลาต่อมาของชาวจีนราวศต.ที่10เกิดขึ้นเมื่อกษัตริย์ Li yu แห่งรางวงศ์ถัง ได้มีนางสนมผู้หนึ่ง ต้องการมัดใจจักรพรรดิ์จึงได้นำผ้ามาพันเท้าให้เล็กๆเพื่อทำการแสดงการรำบนกลีบดอกบัวต่อหน้าพระพักดิ์ เมื่อจักรพรรดิ์เห็นจึงเกิดความประทับใจอย่างมาก จึงได้สั่งให้นางทาสรัดเท้าของเธอด้วยผ้าไหม และขึ้นไปร่ายรำบนเวทีที่โรยด้วยดอกบัวทอง นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ประเพณีการรัดเท้ากับดอกบัวทองจึงเป็นของคู่กันมา(ข้อมูลจากวิกิ) นั่นทำให้เราเห็นว่าสถานะของชาวจีนในสมัยก่อนนั้นก็ถูกกดทับให้อยู่ในสถานะที่กดให้ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะการรัดเท้าเป็นดอกบัวนั้นเป็นการทำให้โครงสร้างทางกระดูกเปลี่ยนแปลงเพราะถุกรัดอย่างรุนแรง จึงทำให้เหมือนกับว่าเท้ามีเพียง4นิ้ว ส่งผลให้ลักษณะทางกายภาพดูด้อยค่าลงจะเดินไปไหนก็ไม่สะดวก ทั้งนี้ผู้หญิงกว่าร้อยละ45 ที่รัดเท้าดอกบัวส่วนใหญ่จะเป็นพวกสนมในวัง อาจเดาได้ว่าอาจมีผู้หญิงที่จะหลบหนีออกจากวังในอดีตจึงทำให้มีประเพณีนี้ขึ้นมา เหมือนกับเป็นการกดขี่เพศหญิงทางอ้อม (เพราะจะเดินไปไหนก็ลำบาก) บ้างก็อ้างว่าการรัดเท้าเป็นดอกบัวจะทำให้อวัยวะเพศหญิงดูอวบอูม ทำให้เกิดเสน่ห์ทางเพศเพิ่มมากขึ้น ในกรณีนี้ไม่ใช่ว่าเพศหญิงทั้งหมดจะถูกบังคับให้ปฎิบัติตามประเพณีนี้ บ้างก็ทำด้วยความเต็มใจเอง

หากมองในกรอบคิดของศาสนาคริสต์การกำเนิดของมนุษย์เกิดจากการมนุษย์ชายหญิงคู่แรกของโลกคืออีฟกับอดัมไปขโมยกินแอปเปิ้ลในสวนอีเดนของพระเจ้า เหตุคือมีซาตานแปลงกายมาเป็นงูแล้วบอกกับอีฟว่า ที่พระเจ้าห้ามให้กินแอปเปิ้ลเพราะว่าพระเจ้ากลัวว่าจะมีใครฉลาดกว่าตน เมื่อรู้ดังนี้อีฟจึงชวนอดัมมากินแอปเปิ้ลด้วยกันจึงเกิดเป็นเรื่องเล่าต่อมาในไบเบิ้ล เห็นว่าแม้ในทางศาสนาอีฟ(เพศหญิง)ยังถูกกดขี่โดยการถูกงู..งูเป็นลักษณะคล้ายศิวะลึงค์ของเพศชาย มาหลอกให้ขโมยแอปเปิ้ลกิน การกดทับทางเพศยังมีอย่างต่อเนื่อง กล่าวกันว่าในคัมภีร์ไบเบิลได้ลดเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นผู้หญิง เริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิดที่เป็นผู้หญิง จากคำสอนของศาสนาคริสต์ในยุคแรก สตรีจะมีช่วงที่ไม่สะอาด เช่นในช่วงระหว่างการมาประจำเดือนและหลังจากการคลอดบุตร จึงถือว่าสตรีนั้นจะมีช่วงที่สกปรกคือเป็นช่วงที่มีมลทินในชีวิตในบางช่วง กรอบการมองสตรีเพศในศาสนาคริสต์จึงมองว่าการร่วมเพศนั้นเป็นสิ่งที่สกปรก แต่การกำเนิดของมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ว่าอย่างไรเมื่อการกำเนิดนั้นต้องร่วมเพศ แนวความคิดจึงเปลี่ยนไปเป็นการอลุ่มอลวยให้แก่กันคือร่วมเพศได้ แต่จะต้องมีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น สถาบันครอบครัวในมุมของคริสต์ศาสนาจึงถือเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุด
แม้โยนีจะถูกมองว่าเป็นเรื่องที่สกปรก แต่ตรงกันข้ามกันในศาสนาฮินดูในคัมภีร์พระเวทย์โบราณของอินเดีย ลึงค์(อวัยวะเพศชาย)เป็นพลังสร้างสรรค์ของธรรมชาติและเป็นตัวแทนของพระศิวะ หินลึงค์มักวางอยู่ในโยนี โยนีเป็นต้นกำหนดของสิ่งทั้งปวงซึ่งหากปราศจากโยนีแล้ว ความเป็นบุรุษก็ไร้ค่าและปราศจากความหมาย ลึงค์และโยนีอยู่ร่วมกันเป็นตัวแทนนามธรรมของการสรรค์สร้าง จึงไม่แปลกที่ะมีการบูชาเฉลิมฉลองโยนีซึ่งจัดเป็นเทศการประจำปีในรัฐอัสสัมประเทศอินเดีย

สุภาษิตสอนหญิงของสุนทรภู่อ้างมาบ้างส่วน
"จะนุ่งห่มดูพอสมศักดิ์สงวน ให้สมควรรับพักตร์ตามศักดิ์ศรี
จะผัดหน้าทาแป้งแต่งอินทรีย์ ดูฉวีผิวเนื้ออย่าเหลือเกิน"
คำกลอนที่สอนให้ผู้หญิงรู้จักระวังตัว แต่งหน้าให้พอประมาณ ห้ามให้ทำกิริยาที่ดูเหมือนต้องการผู้ชาย(สมัยนี้น่าจะเรียกว่าร่าน) กลับกันภาษิต'นี้มองว่าเพศชายเป็นเพศที่หลอกลวง ปลิ้นปล่อน กะล่อน เหลวไหล ไม่มีความรับผิดชอบ อย่าเอาผู้ชายประเภทที่หลงเราเพียงเท่านี้เป็นคู่ชีวิต นอกจากนั้นยังมองว่าการร่วมเพศเป็นสิ่งที่น่ารังเกลียด เป็นของที่สกปรก ต่ำและอันตรายไปในตัว เป็นการสร้างบรรทัดฐานว่าหากคุณจะต้องการร่วมเพศจะต้องเป็นการร่วมเพศที่มีศีลธรรมมากำกับว่า "หากคุณจะร่วมเพศก็สามารถทำได้ ถ้าการร่วมเพศนั้นไม่ผิดศีลธรรม" ปัญหาคือการร่วมเพศเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ หญิงชายคู่หนึ่งร่วมเพศกัน แต่คุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าก่อนที่ทั้งคู่จะร่วมเพศกันนั้น เขาทำผิดศีลธรรมก่อนหน้านั้นหรือไม่ สามารถมองภาพได้จากสังคมไทยในอดีตเรื่องการคลุมถุงชน จะเห็นว่าไม่จำเป็นที่หญิงชายจะรักกัน แต่หากครอบครัวทั้งสองต้องการให้แต่งงานกันก็จำเป็นต้องแต่ง...ดังนั้นการร่วมเพศและศีลธรรมจึงมีความขัดแย้งในตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หรือแม้แต่การที่เราจะกำหนดกรอบศีลธรรมการร่วมเพศและกามารมณ์ผ่านทางสถาบันอื่นที่ไม่ใช่สถาบันครอบครัวก็เป็นเรื่องที่สังคมทำความเข้าใจยากเช่นการเป็นโสเภณีที่ดีไม่หลอกลวงลูกค้า ได้เงินมาต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ เกย์หรือเลสเบี้ยนต้องไม่สำส่อนมีคนรักเพียงคนเดียว ไม่หยาบคาย หรือถ้าเป็นกระเทยก็ต้องมีนิสัยสุภาพอ่อนหวาน ไม่สร้างความรำคาญให้กับผู้อื่นเป็นต้น
"ไม่ว่าเพศไหนก็ไม่ควรที่จะถูกมองว่าด้อยค่า"

 

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Everest กับการก้ามข้ามพ้นขีดจำกัดของมนุษย์



หนังสร้างจากเรื่องจริงเล่าไปถึงปี1996 เป็นเหตุการณ์ที่มีนักปีนเขาบนยอดเขาEverest เสียชีวิตเยอะที่สุดคือ15 หรือ 16คนไม่ ผมก็นั่งดูไปเรื่อยๆเพื่อนผมที่ไปด้วยกันมันกระซิบมาถามว่า ตายกันง่ายๆขนาดนี้(เพราะว่าถ้าคนปกติขึ้นไปยอดเขาแล้วแช่อยู่นั่นนาน5นาทีจะหมดสติแล้วตายทันที) ทำไมคนถึงยังไปกันวะ?” คำถามของมันเริ่มตั้งคำถามให้ผมฉุกคิดว่า เออ..แล้วจะไปกันทำไมวะ ค่าใช้จ่ายที่ขึ้นเขาไม่ต่ำกว่า 2ล้านบาท ในระยะเวลา 2เดือนนะคร้าบบ คนที่ไปคือนอกจากรวยแล้วยังต้องบ้าอีกด้วย ยอมรับตรงๆว่าผมคิดงั้นในตอนแรกคือ แม่งบ้า
นั่งดูหนังไปเรื่อยๆคำตอบในหัวผมเริ่มกระจ่าง เมื่อตัวละครตัวหนึ่งได้เปิดประเด็นว่า"พวกคุณมาทำไม"
Beck Weathers หนึ่งในนักปีนเขาที่มีปัญหากับครอบครัว 
Yasuko Namba
นักปีนเขาหญิงชาวญี่ปุ่นผู้ที่อยากจัดว่า Everest เป็นยอดเขาที่ 7 ในยอดเขา 7ทวีปที่เธอพิชิตมาได้
Doug Hansen
บุรุษไปรษณีย์ที่ทำเพื่อเด็กๆ
Scote fischer
นักปีนเขาที่ชอบสร้างสถิติปีนเขาโดยไม่ใช้ออกซิเจน

ทุกคนล้วนมาด้วยเหตุผลที่ต่างกัน แต่มีจุดมุ่งหมายที่เดียวกัน ยอดเขาที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดและอันตรายที่สุด กว่าจะไปถึงข้างบนยอดภูเขานั้นยากมากมายนัก ทั้งคนที่บาดเจ็บ ทั้งคนที่ถอดใจยอมแพ้ในความเขี้ยวรากดินของภูเขา ซึ่งในหนังจะมีพายุหิมะซึ่งแรงมากๆ แม้ว่ามนุษย์จะสามารถพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกนี้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้นะครับ สำหรับผมแล้ว มันคือการชนะใจตัวเองต่างหากละ ผมได้คำตอบที่ผมตามหาแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงต้องทำเช่นนี้

ในหนังเล่าไปว่าเมื่อถึงจุดท้ายๆของเทือกเขาแล้ว จะเป็นช่วงที่อันตรายมากๆซึ่งจุดนี้เรียกว่า”Death zone” คือจุดที่ออกซิเจนในอากาศเหลือเพียง 33%! Doug Hansen นักปีนเขาคนหนึ่งในเรื่องที่มาถึงเขต Deah zone เขาปีนเขามาได้ถึงช้ากว่าคนอื่น ต่อมาเมื่อพวกคณะปีนเขาที่ลงเขาได้มาเห็นเขาในระหว่างทาง ก็กำลังจะพา Doug Hansen กลับลงเขาเพราะว่าถ้าอยู่นานจะยิ่งเป็นอันตราย แต่ทว่า Doug Hansen ได้พูดมาประโยคหนึ่งซึ่งทำให้ผมประทับใจมากๆ
“ It’s out there = มันอยู่ตรงนั้น